กลางฟ้าดารา เลือดสาดกระเซ็น เสียงคำรามสะเทือนฟ้า
พรูด!
พรูด!
พรูด!
ท่ามกลางเสียงคำรามอื้ออึง ร่างของสัตว์ประหลาดฟ้าดาราตัวโตเท่าภูเขาระเบิดออกเป็นพักๆ เลือดหลั่งดั่งสายฝน ตลบอบอบอวลเหนือท้องนภา
ก็พบว่าในกองทัพสัตว์ประหลาดฟ้าดาราแน่นขนัดนั้น เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งเหนือหัวหลินสวินลอยล่อง แสงมรรคมากมายไหลหลั่ง โอบล้อมเงาร่างของเขากับซย่าจื้อ ทะลวงออกเป็นเส้นทางสายโลหิตที่เกือบเหมือนการเคลื่อนกวาดตลอดทาง ทุกที่ที่ผ่านมีแต่ซากศพแหลกกระจุย ฝนเลือดสาดซัด และเสียงคำรามเจ็บปวด
สัตว์ประหลาดฟ้าดาราเหล่านี้แข็งแกร่งและน่ากลัวกว่าที่เคยพบก่อนหน้านี้จริงๆ ที่อ่อนแอที่สุดยังเทียบได้กับผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิ พวกที่แข็งแกร่งบางตัวถึงกับไม่ด้อยไปกว่าระดับบรรพจารย์จักรพรรดิ
หากเปลี่ยนเป็นระดับจักรพรรดิคนอื่น ภายใต้การปิดล้อมเช่นนี้เกรงว่าคงรู้สึกสิ้นหวังไปหมด
แต่สำหรับหลินสวินแล้ว จำนวนมากแค่ไหนก็ไม่มีภัยคุกคามอะไรให้พูดถึงอยู่ดี ด้วยมรรควิถีของเขาในตอนนี้ กระทั่งมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิยังสังหารได้สบาย เมื่อรับมือกับพวกที่มีระดับจักรพรรดิจึงง่ายดายราวกับฉีกภาพวาด
ยิ่งไปกว่านั้นแม้ว่าสัตว์ประหลาดฟ้าดาราพวกนี้จะเทียบได้กับระดับจักรพรรดิ แต่อย่างไรก็ไม่ใช่ผู้ฝึกปราณที่แท้จริง ทั้งยังไร้สติปัญญา มีเพียงสัญชาตญาณในการเข่นฆ่า
นี่ทำให้ยามหลินสวินต่อสู้ยิ่งสบายขึ้นไปอีก
เพียงไม่ถึงครึ่งเค่อ
ก็ถูกเขาฝ่าวงล้อม ทะยานออกไปยังฟ้าดาราไกลลิบ ตั้งแต่เริ่มจนจบไม่ได้พบภัยคุกคามที่แท้จริงแต่อย่างใด
ฟุ่บ!
ทว่าหลินสวินเพิ่งหลุดออกมาไม่นาน แสงเคลื่อนสีเขียวพิสดารสายหนึ่งก็พุ่งออกมาจากที่ไกลลิบ ทุกที่ที่ผ่านฟ้าดาราถึงกับถูกกรีดออกเป็นรอยแยกมหึมา แหวกออกเหมือนโกรกธาร
เมื่อมองดูแสงเคลื่อนสีเขียวนั้นอีกครั้ง ถึงกับเป็นดาบกระดูกสีเขียวเล่มหนึ่ง รูปทรงเป็นเอกลักษณ์เหมือนจันทร์เสี้ยว แสงเย็นเยียบน่าหวาดหวั่นหลั่งไหลอยู่ตามคมดาบ
หลินสวินนัยน์ตาหดรัด ใช้เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งต้านทาน ทั้งสองปะทะกัน เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งถึงกับถูกซัดกระเด็นออกไป ส่งเสียงครวญไม่หยุด
พรูด!
เพราะเชื่อมโยงถึงกัน หลินสวินจึงกระอักเลือดออกมาทันที
พลังอมตะ!
เขาสีหน้าไม่ย่ำแย่ รับรู้ได้ว่าพลังของดาบกระดูกสีเขียวเล่มนั้นเกินระดับจักรพรรดิไปแล้ว
สวบ!
ท่ามกลางเสียงทะยานแสบหู แสงสีเขียวพร่างพรม ดาบกระดูกเล่มนั้นฟันมาอีกครั้ง ว่องไวดุจแสงสายฟ้า เปี่ยมด้วยกลิ่นอายสังหารยากคาดเดา
สารกาย พลังชีวิตและจิตวิญญาณทั้งตัวหลินสวินเหมือนเพลิงลุกโชน ใช้พลังทั้งหมดเข้าต้านทาน
เคร้ง! เคร้ง! เคร้ง!
เสียงปะทะดังลั่นสนั่นหู แม้ทุกการโจมตีจะถูกเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งรับไว้ แต่ภายใต้การโจมตีของพลังอันน่ากลัวเช่นนั้น กลับสะเทือนจนพลังขับเคลื่อนหลินสวินยุ่งเหยิง กระอักเลือดไม่ว่างเว้น สีหน้ายังเปลี่ยนเป็นซีดเผือด
นี่เขาเทียบกับระดับอมตะทั่วไปได้ที่ไหน เทียบกับระดับอมตะอย่างตงหวงคง ชื่อชางหุนแล้วยังไม่ด้อยกว่าด้วยซ้ำ!
ที่น่ากลัวที่สุดก็คือ จนถึงตอนนี้หลินสวินยังไม่เห็นว่าคนที่ใช้ดาบกระดูกสีเขียวเล่มนี้อยู่ที่ไหน
ความรู้สึกวิกฤตอย่างแรงกล้าผุดขึ้นในใจหลินสวิน
“ให้ข้าจัดการ”
ซย่าจื้อลงมือโดยพลัน ทวนศึกกระดูกขาวที่มีแสงดาวไหลเวียนอยู่แทงออกไปทันที
เสียงเคร้งดังขึ้น ดาบกระดูกสีเขียวที่เล่นงานหลินสวินจนได้รับบาดเจ็บเต็มตัวก่อนหน้านี้กลับถูกซัดกระจุยอย่างรุนแรง ระเบิดออกกลางอากาศ
แต่หลินสวินกลับสังเกตเห็นว่าซย่าจื้อที่เดิมทีก็บาดเจ็บสาหัสอยู่แล้วมีเลือดไหลออกมาจากมุมปากอีกครั้ง นี่ทำให้เขาจิตใจหดรัด ตะคอกลั่นว่า “อย่าใช้พลังในร่างเจ้าอีกนะ!”
ซย่าจื้อกลับไม่สนใจ คว้าแขนหลินสวินไว้แล้วเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างฉับไว
ตูม!
ทันใดนั้นคทาหรูอี้สีดำเล่มหนึ่งก็กระแทกลงมาอย่างจัง
ซย่าจื้อไม่หลบไม่หนี กวาดทวนศึกกระดูกขาวในมือออกไป คทาหรูอี้สีดำเล่มนี้ถูกซัดกระจุยเช่นกัน แหลกสลายกลายเป็นละอองแสงปลิวว่อนในห้วงอากาศ
เสียงอุทานแผ่วเบาเสียงหนึ่งดังขึ้นในห้วงอากาศไกลลิบ
หลินสวินกลับไม่อาจสนใจเรื่องพวกนี้ เขาเห็นแค่ว่าร่างของซย่าจื้อเริ่มแตกและมีเลือดไหลอีกแล้ว นี่ทำให้เขาตาแทบถลน
“ยังไม่เลิกราอีกหรือ!”
เขาคำรามดังลั่น เสียงสะเทือนฟ้าดารา ผมเผ้ากระเซอะกระเซิง สีหน้าเริ่มดุดัน
ตั้งแต่ออกมาจากโบราณสถานทวยเทพจนบัดนี้ เริ่มจากพวกระดับอมตะห้าคนอย่างพวกฉีเทียนหลิน ชื่อชางหุนโจมตีเข้ามา หลังสังหารพวกเขาอย่างยากเย็น คนใหญ่คนโตของตระกูลหวัง ยักษ์ใหญ่อมตะอันดับหนึ่ง ยังใช้กระบี่ตัดมรรคทำให้อาจารย์อาคงเจวี๋ยได้รับบาดเจ็บสาหัส และส่งผลให้ศิษย์พี่สี่ต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิตถึงเปิดทางรอดให้เขาได้!
แต่ทั้งหมดนี้ยังไม่จบลง
ในฟ้าดาราที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ มารเทพตี้สือโจมตีเข้ามา ทำให้เขากับซย่าจื้อต่างบาดเจ็บสาหัสกว่าจะเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างสมบูรณ์
หลังความสงบสุขอันแสนสั้น กองทัพสัตว์ประหลาดฟ้าดารานั่นก็มาเยือนชนิดมืดฟ้ามัวดิน…
ถึงตอนนี้กระทั่งศัตรูเป็นใครยังไม่รู้ด้วยซ้ำ แค่ดาบกระดูกสีเขียวเล่มหนึ่ง คทาหรูอี้สีดำเล่มหนึ่ง ก็ทำให้เขากับซย่าจื้อตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายและวิกฤตอีกครั้ง!
ทั้งหมดนี้เหมือนไม่มีทางเลิกรา ไอสังหารที่มาเยือนครั้งแล้วครั้งเล่า จะไม่ให้หลินสวินโกรธแค้นคลุ้มคลั่งได้อย่างไร
สิ่งที่ตอบกลับหลินสวินมาคือประทับเทพทองอร่ามสายหนึ่ง อุบัติขึ้นกลางอากาศ กำราบลงมาอย่างรุนแรงราวกับดวงอาทิตย์อันตระการตาหาใดเทียบ
ตูม!
ยังคงเป็นซย่าจื้อที่ลงมือซัดประทับเทพสีทองนั้นให้แหลกกระจุยเช่นเดิม แต่อาการบาดเจ็บของนางยิ่งรุนแรงขึ้น ร่างกายล้วนโชกไปด้วยเลือดสดๆ คล้ายกำลังจะแตกสลาย
แต่ในขณะเดียวกัน ปิ่นปักผมเรียวเล็กสีเงินเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้นทันควัน แทงเข้าที่กลางหลังของซย่าจื้ออย่างจัง
ภาพนี้กระตุ้นให้หลินสวินเลือดขึ้นตา ความโกรธแค้นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนประหนึ่งหินหนืด กระตุ้นจนทั้งตัวเขาเหมือนลุกไหม้ เขาพุ่งออกไปราวกับไม่สนใจสิ่งใดอีก
ฟุ่บ!
ปิ่นปักผมสีเงินทะลุผ่านจากด้านหลังเขา นำพาเลือดสดๆ ร้อนระอุออกมาด้วย
ซย่าจื้อหันไปก็เห็นภาพนี้พอดี นางอึ้งอยู่ตรงนั้นคล้ายยากจะเชื่อ ไม่อาจยอมรับได้ในทันที
หลินสวินก้มมองโพรงเลือดหลั่งรินที่หน้าอกของตนปราดหนึ่ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นคำรามว่า “ซย่าจื้อ ไป! รีบหนีไป!”
สติรับรู้ของเขาเริ่มรางเลือน
พลังที่อัดแน่นอยู่ในปิ่นปักผมสีเงินเล่มนั้นน่ากลัวเกินไป ไม่เพียงแต่แทงทะลุร่างของเขา พลังที่กระจายออกมายังอาละวาดอยู่ในร่างเขา ทำลายพลังชีวิตทั้งตัวเขาไปด้วย
“ข้า… จะฆ่าพวกเขาให้หมด!”
เสียงกระจ่างเย็นชาเผยความชิงชังไร้สิ้นสุดดังก้องในสติรับรู้อันพร่าเลือนของหลินสวิน เขาแตกตื่นในทันใด พยายามปลุกตัวเองให้คงสติ
จากนั้นก็ได้เห็นภาพที่จะไม่มีทางลืมเลือนไปชั่วนิรันดร์…
บัดนี้สายโซ่พันธนาการอันลึกลับคลุมเครือสายแล้วสายเล่าผุดออกมาจากเงาร่างอรชรของซย่าจื้อ ตวัดวาดห้อทะยานประหนึ่งสายธารแห่งโชคชะตา
“อ๊าก…”
นางแหงนหน้าขึ้น เปล่งเสียงที่เผยความโศกเศร้าและโกรธแค้นไร้สิ้นสุดขึ้นฟ้า
ที่ตามมาติดๆ คือเพลิงแสงสีขาวบาดตาหาใดเทียบพลันแผ่กระจายออกมาเหมือนพายุคลั่ง ฟ้าดาราอันกว้างใหญ่ วัฏจักรอันไร้สิ้นสุด ดวงดาราอันเวิ้งว้างเหล่านั้นต่างพังทลาย ร่วงโรย จ่อมจม มลายลับในยามนี้…
ราวกับจักรวาลแห่งหนึ่งกำลังจะถล่มลงและดับสูญไป!
ส่วนเงาร่างซย่าจื้อก็กลายเป็นต้นกำเนิดแห่งความพังพินาศ นางในตอนนี้เจ็บปวด เสียใจ และโกรธแค้น ราวกับต้องการทำลายทุกสิ่งที่เห็นตรงหน้าไปให้หมด
“ไม่…”
เสียงร้องโหยหวนน่าอนาถดังขึ้น เงาร่างที่ซุ่มซ่อนอยู่ในความมืดร่างหนึ่งถูกเพลิงแสงสีขาวนั้นกวาดโดน สลายหายไปในชั่วพริบตาเฉกเช่นโชคชะตาถูกช่วงชิง
และต่อมา เสียงโหยหวนทำนองนี้ก็ดังขึ้นไม่ขาดสาย
หลินสวินเห็นว่ามีประกายเทพอมตะพวยพุ่งขึ้นมา หมายจะหลบหนีไปจากฟ้าดาราแห่งนี้ แต่เพียงพริบตาก็ถูกเพลิงแสงสีขาวนั้นกลืนกินจนหายลับไป
เขามองเห็นว่ามีชายชุดงามหรูดั่งเทพดิ้นรนอยู่กลางเพลิงแสงสีขาวนั้น สีหน้าเต็มไปด้วยความสะพรึงกลัว ชั่วพริบตาก็สลายไป
เพียงแต่ภาพเหล่านี้เริ่มเปลี่ยนเป็นรางเลือน ความเจ็บปวดอันไร้สิ้นสุดผุดขึ้นในการรับรู้ของหลินสวิน ทำให้ทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าเขาจมสู่ความมืดมิด
ท่ามกลางความพร่าเลือน มีเสียงร้อนรนเจือกระวนกระวายดังขึ้นไม่หยุด แต่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเลือนราง แผ่วลอย จนท้ายที่สุดการรับรู้ทั้งหมดก็หายลับไป
……
ในจักรวาลที่ประหนึ่งพังพินาศ
เงาร่างอรชรที่ชุ่มโชกไปด้วยเลือดสดๆ ร่างหนึ่งแบกคนผู้หนึ่งอยู่บนหลัง มุ่งไปข้างหน้าไม่หยุดราวกับคลุ้มคลั่ง
ตลอดทางน้ำเลือดที่หลั่งรินจากร่างนางเป็นลายพร้อยเหมือนกลีบดอกไม้
เงาร่างของพวกเขาค่อยๆ หายลับไป
….
ก็ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไร
เสียงกังวานกระจ่างใสที่เต็มไปด้วยความร้อนรนกังวลใจดังขึ้นในสติรับรู้ที่เหมือนจมสู่ความมืดมิดของหลินสวิน
“หลินสวิน… หลินสวิน…”
“เจ้าจะตายไม่ได้ เจ้าเคยสัญญากับข้าไว้ จะทิ้งข้าไว้คนเดียวแบบนี้ไม่ได้ หรือเจ้าลืมไปแล้วว่าถ้าไม่มีเจ้า โลกของข้าก็จะตกสู่ความมืดมิด…”
เสียงกระจ่างใสเหมือนทวนซ้ำและกำชับไม่หยุด
เสียงดังขึ้นตรงหน้าชัดๆ แต่ไม่ว่าหลินสวินจะพยายามอย่างไรเขาก็ไม่อาจฟื้นสติมาได้ ทั้งยังไม่อาจลืมตาขึ้นมา
ประหนึ่งว่าถูกพันธนาการเป็นชั้นๆ
จากนั้นสติของเขาก็พร่าเลือนอีกครั้ง
……
ไม่รู้ว่าผ่านไปอีกนานเท่าไร
ฉับพลันนั้นในสติอันมืดมิดของหลินสวินก็มีภาพกระจัดกระจายภาพแล้วภาพเล่าปรากฏขึ้น เหินทะยานไปมาในสมองเขาไม่หยุด ทุกภาพล้วนแหลกสลายกระจัดกระจาย
มีเพียงเสียงร้องอันร้อนรนนั้นที่แจ่มชัดถึงเพียงนี้
ความรู้สึกโศกเศร้า ทำอะไรไม่ถูก และเจ็บปวดใจจู่โจมสติของหลินสวินไม่หยุดราวกับกระแสธาร
จู่ๆ เขาไม่รู้เอาพลังมาจากไหน กัดปลายลิ้นตนเองอย่างแรงคราหนึ่ง สติอันพร่าเลือนนั้นถึงได้จดจ่อขึ้นมาได้บ้าง ทั้งยังทำให้เขาเห็นภาพมากมายจากภาพที่แตกกระจายเหล่านั้นในที่สุด
เด็กสาวที่โชกเลือดไปทั้งตัว ร่างกายยับเยินคนหนึ่ง แบกคนผู้หนึ่งห้อตะบึงไปในฟ้าดาราอันเวิ้งว้าง วิ่งแล่นไปไม่หยุดหย่อน คล้ายไม่รู้จักเหนื่อยล้าไปชั่วกาล…
กลิ่นอายนางอ่อนแอหาได้เทียบอย่างเห็นได้ชัด อย่างกับจะล้มลงเมื่อไรก็ได้ แต่ก็ไม่รู้ว่าเอาพลังมาจากไหนถึงทำให้นางทนอยู่ได้ตลอด
บนใบหน้างดงามที่ซีดเซียวถอดสีนั้นยังมีน้ำตาไหลรินลงมาเงียบๆ
ตลอดทางนี้นางร้องไห้ไม่รู้กี่ครั้ง แต่กลับไม่ส่งเสียงร้องไห้สักแอะ เหมือนกลัวว่าจะทำให้คนที่นางแบกอยู่นั้นตกใจ
ในปากเพียงเอ่ยถ้อยคำร้อนรนและเศร้าสร้อยซ้ำๆ ส่วนมากรางเลือน ได้ยินไม่ชัด
จนสุดท้ายก็เหลือเพียงเสียงพึมพำเรียกชื่อเขา
“หลินสวิน… หลินสวิน…”
ภาพแต่ละภาพนั้น เสียงพึมพำอันเศร้าสร้อยนั้น ทำให้ทรวงอกหลินสวินเหมือนถูกอะไรกดทับ เจ็บปวดแสนสาหัสเหมือนมีเข็มแทงใจ
“เจ้าได้ยินไหม ถ้าเจ้าไม่ฟื้นขึ้นมาอีก ข้าจะฝืนต่อไปไม่ไหวจริงๆ แล้วนะ…”
ก็ในตอนนี้เอง ในสติของหลินสวินได้ยินเสียงพึมพำที่เผยความเหนื่อยล้า ไร้แรง เศร้าสร้อยจนแทบเลื่อนลอย
ชั่วพริบตาหลินสวินเหมือนถูกอะไรจู่โจม สติที่เดิมที่มืดมิดสั่นไหวรุนแรงขึ้นมา ทั้งร่างเริ่มสั่นระรัวเบาๆ
จากนั้นเขาลืมตาขึ้น เมื่อเห็นใบหน้างดงามที่ซีดเซียวแทบโปร่งแสงฟุบอยู่ด้านหนึ่งนั้น น้ำตาก็ไหลออกมาอย่างควบคุมไม่อยู่
——
(จบภาค เส้นทางจอมจักรพรรดิฟ้าดารา)