แสงเทียนส่ายไปมา อาศัยแสงเทียนสามารถดูออกว่านี่คือเรือนหินที่เรียบง่ายแห่งหนึ่ง
ซย่าจื้อยังคงสวมเสื้อคลุมที่เปื้อนเลือดตัวนั้น ร่างสูงเพรียวขดงอ นอนฟุบอยู่ข้างเตียง ดวงหน้าเล็กที่งดงามบริสุทธิ์ไร้ที่ติขาวซีดแทบโปร่งแสง
หว่างคิ้วยิ่งมีไอมืดมนที่ขจัดไม่ออกวนเวียนอยู่
หลินสวินที่ลืมตาขึ้นอดยื่นฝ่ามือออกมาลูบผมของซย่าจื้อไม่ได้
“ซย่าจื้อ ข้ายังไม่ตาย ไม่ต้องเสียใจแล้ว”
เขาอยากให้ตนยิ้ม น้ำตากลับไหลหลั่งลงตามแก้มอย่างควบคุมไม่อยู่
แต่ละภาพที่ปรากฏในการรับรู้เหมือนผุดขึ้นตรงหน้าอีกครั้ง ในจักรวาลไพศาลนั่น นางที่ร่างชุ่มเลือดแบกตนวิ่งเพียงลำพัง นางบาดเจ็บสาหัสขนาดนั้นแต่กลับไม่สนใจ เอาแต่ขานเรียกตนไม่หยุด บนใบหน้างดงามบริสุทธิ์มีน้ำตาไหลลงอย่างไร้สุ้มเสียง
นี่เป็นครั้งแรกที่หลินสวินเห็นซย่าจื้อหลั่งน้ำตา เสียใจ ไร้ที่พึ่ง และทำอะไรไม่ถูกปานนั้น
นี่ยังเป็นน้ำตาที่หลินสวินกลั้นไม่อยู่เป็นครั้งแรก
ใครบอกว่าผู้ชายไม่ร้องไห้ให้ใครเห็น
เมื่อผ่านการเคี่ยวกรำและอันตรายที่บีบคั้นหัวใจที่สุดมาแล้ว บางทีถึงเพิ่งเข้าใจ ว่าคนที่ใส่ใจที่สุดมีน้ำหนักในหัวใจมากมายเพียงไหน
ตอนนี้เองซย่าจื้อที่นอนอยู่ข้างเตียงอึ้งงัน พลันเงยหน้าขึ้น ดวงตากระจ่างใสจ้องหลินสวินที่ลืมตาขึ้น ครู่ใหญ่หลังจากนั้นถึงเอ่ยเสียงเบากับหลินสวิน “หลินสวิน คราวหน้าอย่าทำข้าตกใจแบบนี้อีก”
เสียงไพเราะปนเสียงสะอื้นในลำคอ นางเหมือนผลิยิ้มออกมา แต่ในดวงตากลับมีน้ำตาคลออยู่ ไหลลงอย่างเงียบเชียบ
บางทีอาจจะเพราะตื่นเต้นเกินไป หรืออาจเป็นเพราะช่วงนี้ในใจสั่งสมความกังวลและความเศร้ามากเกินไป ซย่าจื้อที่เยือกเย็นนิ่งสงบมาโดยตลอดยื่นสองแขนออกมากอดหลินสวินไว้แน่น ศีรษะหนุนบนหน้าอกหลินสวิน ไม่ได้พูดแม้แต่ประโยคเดียว ทว่าร่างอรชรนั้นกลับสั่นเล็กน้อย
หลินสวินลูบเส้นผมของซย่าจื้อเบาๆ กล่าวว่า “ไม่เป็นไรแล้ว ต่อไปข้าจะไม่ให้เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นอีก”
พูดถึงช่วงท้าย น้ำเสียงเขาก็แฝงความเด็ดขาดแล้ว!
“พี่สาว ยาเสร็จแล้ว” ทันใดนั้นเสียงที่ขลาดกลัวหนึ่งดังมาจากนอกเรือนหิน
อารมณ์ที่ปั่นป่วนของหลินสวินถูกข่มกลั้นทันที สงบจิตใจลง
“เสี่ยวซี เข้ามาเถอะ” ซย่าจื้อหยัดร่างขึ้นพลางเอ่ยเบาๆ
ประตูเรือนถูกผลักออก เงาร่างเล็กๆ ร่างหนึ่งเดินเข้ามา นี่เป็นเด็กหญิงอายุประมาณสิบปี สวมชุดหนังสัตว์ที่ผ่านการฟอกมา ผมยาวดกดำพลิ้วไหว ใบหน้าเล็กน่ารักไร้เดียงสา ดวงตาคู่โตเป็นประกายแวววาว
สองมือของนางประคองถ้วยกระเบื้องเคลือบใบหนึ่ง ไอร้อนพวยพุ่ง กลิ่นยาคละคลุ้ง
เมื่อเห็นหลินสวิน นางอึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นใบหน้าเล็กปรากฏความประหลาดใจ เอ่ยว่า “พี่สาว ในที่สุดพี่ชายคนนี้ก็ฟื้นแล้ว!”
ซย่าจื้อขานรับว่าอืม รับถ้วยกระเบื้องเคลือบมาแล้วเอ่ยว่า “เสี่ยวซี ขอบคุณนะ”
เสี่ยวซียิ้มเผยฟันขาวดั่งหิมะที่เรียงตัวเป็นระเบียบ กล่าวว่า “พี่สาว ท่านปู่ข้าบอกว่าท่านกับพี่ชายท่านนี้เป็นแขกคนสำคัญของหมู่บ้าน จะต้องดูแลเป็นอย่างดี ไม่ต้องขอบคุณหรอก”
หลินสวินอดประหลาดใจไม่ได้ แขกคนสำคัญของหมู่บ้านหรือ
กลับเห็นซย่าจื้อยื่นถ้วยมาไว้ข้างปากตน เอ่ยว่า “นี่คือยาที่ท่านปู่ของเสี่ยวซีเคี่ยวมาให้ บอกว่าดีต่อการเสริมพลังชีวิต สามเดือนมานี้เสี่ยวซีเอายามาให้ทุกวัน”
สามเดือนหรือ
หลินสวินยิ่งประหลาดใจเข้าไปใหญ่ แต่ไม่ได้ถามอะไรมาก ดื่มยาในถ้วยจนหมด เมื่อได้ลิ้มรสดูแล้วเขาอดลอบพยักหน้าไม่ได้ ยานี้เห็นได้ชัดว่าเคี่ยวจากโอสถเทพที่บ่มมานาน บางทีอาจไม่ถึงขั้นล้ำค่าและหายาก แต่ก็พอจะส่งผลดีอยู่บ้าง
จนกระทั่งหลินสวินดื่มหมด ซย่าจื้อถึงยื่นถ้วยคืนให้เสี่ยวซี ยังไม่ทันอ้าปากเสี่ยวซีก็หมุนตัวกลับไปพร้อมรอยยิ้ม “ข้าจะไปบอกข่าวดีนี้กับท่านปู่”
เงาร่างเล็กผลักประตูออกไป
“ที่นี่คือที่ไหน”
ซย่าจื้อส่ายหน้า “ข้าเองก็ไม่รู้”
ที่แท้เมื่อสามเดือนก่อนหน้านี้ หลังจากซย่าจื้อแบกหลินสวินออกจากฟ้าดาราที่ไม่คุ้นเคยซึ่งพังพินาศนั่น ก็เข้าสู่ทางช่องทางมิติสายหนึ่ง
ยามปรากฏตัวอีกครั้งก็มาอยู่ในภูเขาใหญ่แห่งหนึ่ง
และหมู่บ้านที่พวกเขาอยู่ตอนนี้ ก็ตั้งอยู่ในส่วนลึกของภูเขาใหญ่นั้น
ท่านปู่ของเสี่ยวซีคือผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้านนี้ สามเดือนก่อนตอนเก็บโอสถเทพในป่า พบเจอการซุ่มโจมตีของสัตว์ปีศาจ และถูกซย่าจื้อที่ผ่านทางช่วยไว้พอดี ท่านปู่ของเสี่ยวซีซาบซึ้งในบุญคุณของซย่าจื้อ จึงเชิญให้นางมาเป็นแขกในหมู่บ้าน
เพื่อรักษาหลินสวินโดยเร็วที่สุด ซย่าจื้อจึงตอบรับทันที
เมื่อได้รู้เรื่องเหล่านี้ หลินสวินถึงเข้าใจว่าเหตุใดตนกับซย่าจื้อจึงกลายเป็นแขกคนสำคัญของหมู่บ้านนี้
“นี่นับว่าคล้ายกับตอนอยู่ที่หมู่บ้านเฟยอวิ๋นอยู่บ้าง” ในดวงตาหลินสวินแฝงแววทอดถอนใจ
ย้อนคิดถึงยามยังเยาว์ เขาก็ถูกหมู่บ้านเฟยอวิ๋นมองเป็นแขกคนสำคัญ ได้พักอยู่ในหมู่บ้านชั่วคราว และก็เป็นที่นั่นที่ทำให้เขาได้พบกับซย่าจื้อ
ซย่าจื้อเอ่ย “เรื่องในตอนนั้นข้าเองก็ไม่ลืมเช่นกัน ก็เพราะนึกถึงเรื่องเหล่านั้นข้าถึงเลือกอยู่ที่นี่ อีกอย่าง ข้าสัมผัสได้ว่าพวกเขาไม่ได้ประสงค์ร้ายกับพวกเรา”
หลินสวินขานรับว่าอืม จากนั้นเริ่มสัมผัสในร่างกาย ไม่ว่าหมู่บ้านนี้จะใช่โลกยอดนิรันดร์หรือไม่ สิ่งสำคัญที่สุดคือการฟื้นฟูและควบคุมพลัง
ไม่นานหลินสวินอดยิ้มขื่นไม่ได้
สภาพในร่างกายของเขา ไม่อาจใช้คำว่าแย่มาอธิบายได้ รุนแรงถึงขั้นพลังขับเคลื่อนปั่นป่วน เส้นลมปราณได้รับความเสียหาย พลังวิญญาณเหือดแห้ง
แม้แต่กายเนื้อก็ได้รับบาดเจ็บสาหัส
นอกจากนี้โลกจักรพรรดิบริสุทธิ์ก็ปรากฏร่องรอยเสียหาย เหมือนถูกพายุพัดถล่ม เต็มไปด้วยร่องรอยยุ่งเหยิงทุกแห่งหน ไม่มีพลังชีวิต ไร้ซึ่งชีวิตชีวา
สภาพเช่นนี้ไม่ต่างอะไรกับคนไร้ประโยชน์ คนธรรมดาคนหนึ่งก็สามารถฆ่าเขาได้แล้ว
ที่โชคดีคือเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งและพวกสมบัติยังอยู่ ไม่ได้สูญหาย ไม่เช่นนั้นความเสียหายคงมหาศาล
‘จะต้องเร่งฟื้นคืนพลัง ไม่เช่นนั้นหากเจออันตรายอะไรอีกเกรงว่าคงไม่มีแรงต้านทาน…’ ในใจหลินสวินเกิดความรู้สึกอันตรายอย่างแรงกล้า
เสียงฝีเท้าระลอกหนึ่งดังขึ้นนอกเรือนหิน จากนั้นเสียงเรียบๆ ทรงพลังหนึ่งดังขึ้น “แม่นาง ข้าได้ยินว่าพี่ชายตัวน้อยคนนั้นฟื้นแล้วหรือ”
ซย่าจื้อเปิดประตูออกเชิญเฒ่าชราคนหนึ่งเข้ามา
เขาดูเหมือนแก่ชรา แต่ร่างกายแข็งแกร่ง ผิวสีทองแดง กลิ่นอายทั่วตัวพลุ่งพล่าน หว่างคิ้วเต็มไปด้วยความกร้าวแกร่งมากประสบการณ์
หลินสวินมองออกทันที เฒ่าชราคนนี้ถึงกับเป็นกึ่งจักรพรรดิคนหนึ่ง!
เป็นหมู่บ้านที่อยู่กลางถิ่นทุรกันดารเท่านั้น ผู้ใหญ่บ้านกลับสามารถครอบครองพลังปราณระดับนี้ได้ เท่านี้ก็พิสูจน์ได้แล้วว่าโลกนี้ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน
เฒ่าชราเองก็เห็นหลินสวินที่ฟื้นขึ้นมาแล้วเช่นกัน อดหัวเราะอย่างเบิกบานไม่ได้ กล่าวว่า “ดียิ่งนัก คราวนี้ตาเฒ่าอย่างข้าก็วางใจได้แล้ว”
ว่าพลางเขาก็แนะนำตัว เขามีนามว่าอู่ชวน เป็นผู้ใหญ่บ้านของหมู่บ้าน ‘เงาเมฆา’ บรรพบุรุษอาศัยอยู่ที่นี่มาทุกรุ่น
หลินสวินเองก็บอกฉายามรรคของตนไป ไม่ได้บอกชื่อจริง ไม่ใช่เพราะระแวงและระวังตัว แต่เพราะกังวลว่าฐานะของตนจะชักนำความวุ่นวายมาสู่หมู่บ้านอันห่างไกลแห่งนี้
ถึงอย่างไรหากที่นี่คือโลกยอดนิรันดร์ เช่นนั้นชื่อของเขาก็ไม่มีทางไม่มีคนรู้จัก
หลังจากสนทนาสัพเพเหระครู่หนึ่ง อู่ชวนก็กล่าวกำชับว่า “แม่นางกับสหายน้อยเต้ายวนพักอยู่ที่นี่ได้ตามสบาย รอบาดแผลหายดีค่อยตัดสินใจเรื่องที่จะจากไปก็ยังไม่สาย”
อู่ชวนเพิ่งจากไป เงาร่างของซย่าจื้อที่ยืนอยู่ข้างหลินสวินมาโดยตลอดพลันส่ายไหวเล็กน้อย ถึงกับเหมือนสูญเสียเรี่ยวแรงทั้งหมด ทรุดนั่งลงพื้นอย่างเงียบๆ หมดสติไปทั้งอย่างนี้
“ซย่าจื้อ!”
ในใจหลินสวินบีบรัด ก็ไม่รู้ว่าไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน พลันลุกขึ้นจากเตียง เดินโซเซไปถึงข้างกายซย่าจื้อ ใช้พลังทั้งหมดกว่าจะฝืนอุ้มซย่าจื้อมาวางบนเตียงได้ แค่เท่านี้หลินสวินก็เหงื่อท่วมศีรษะแล้ว ตัวสั่นไปทั้งตัว
เขาหายใจหอบอยู่ครู่หนึ่งถึงสังเกตเห็นว่าสัญญาณชีวิตของซย่าจื้อยังคงอยู่ เพียงแต่อาจเพราะช่วงนี้นางใช้พลังไปมากเกินไป ทำให้หมดสติไปในตอนนี้
เมื่อสังเกตอย่างละเอียด บนร่างกายของซย่าจื้อยังเหลือรอยแผลเล็กละเอียดมากมาย สีหน้าก็ขาวซีดถึงที่สุด สภาพร่างกายของนางไม่ได้ดีไปกว่าเขานัก
หลินสวินไม่กล้าคิดเลยว่า ช่วงที่ผ่านมานี้ซย่าจื้อยืนหยัดมาถึงตอนนี้ได้อย่างไร
“หลังจากนี้เจ้าก็รักษาแผลให้ดี ข้าจะดูแลเจ้าเอง”
หลินสวินจับมือหยกที่ขาวผ่องเย็นเยียบของซย่าจื้อ แววตาเผยความรักถนอมลึกล้ำ ปวดใจหาที่เปรียบไม่ได้
ครู่ใหญ่
หลินสวินนั่งขัดสมาธิอย่างยากลำบาก นั่งลงบนพื้นโดยตรง เริ่มทำสมาธิควบคุมลมหายใจ
เพียงแต่บาดแผลของเขารุนแรงเกินไป แม้แต่เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งและสมบัติก็ไม่สามารถใช้ได้ พวกโอสถหายากที่ซ่อนอยู่ในสมบัติก็ไม่สามารถเอาออกมาได้
หลินสวินไม่ได้สนใจเรื่องพวกนี้ เขาสงบใจโคจรนัยเร้นลับของเตาหลอมมหามรรค ดูดซับกลืนกิน ค่อยๆ เหนี่ยวนำและจัดระเบียบพลังขับเคลื่อนที่ปั่นป่วนจนแทบจะพังทลายทั่วร่าง
ไอวิญญาณเป็นสายๆ ค่อยๆ รวมตัวจากกลางอากาศ พุ่งเข้าไปในร่างหลินสวิน แม้จะน้อยนิด แต่ความก้าวหน้าเล็กๆ นี้ก็ทำให้หลินสวินมองเห็นความหวังแล้ว!
เวลาค่อยๆ ผ่านไปวันแล้ววันเล่า
หลินสวินและซย่าจื้อยังคงอยู่ในหมู่บ้านเงาเมฆาซึ่งอยู่ในส่วนลึกของภูเขาใหญ่แห่งนี้ เหมือนตัดขาดจากโลกภายนอก ไม่มีการแก่งแย่งวุ่นวายใดๆ
ในทุกๆ วันเสี่ยวซีจะยกยาที่เคี่ยวเสร็จมาให้ ยาที่เสริมพลังชีวิตเหล่านี้ล้วนถูกหลินสวินป้อนให้ซย่าจื้อที่หมดสติดื่ม
น่าเสียดายที่อาการของซย่าจื้อไม่ได้ดีขึ้น ยังคงไม่ฟื้นดังเดิม
นี่ทำให้หลินสวินยิ่งไม่กล้าละเลย แทบจะใช้เวลาทั้งหมดในการฝึกปราณ
จนกระทั่งหนึ่งเดือนหลังจากนั้น
ในที่สุดหลินสวินก็สั่งสมพลังที่สามารถโคจรเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งได้เสี้ยวหนึ่ง เอาโอสถเทพและลูกกลอนวิญญาณหายากที่ซ่อนอยู่ในนั้นออกมาอย่างไม่ลังเลสักนิด
‘การเปลี่ยนแปลงแห่งมหามรรค การทำลายและเกิดใหม่เคียงคู่ ไม่ดับไม่เกิด ทำลายแล้วสร้างใหม่ เช่นนั้นก็ถือโอกาสนี้ใช้คัมภีร์เตาหลอมมหามรรคสร้างมรรควิถีใหม่ หล่อหลอมฐานมรรคอีกครั้ง…’
หลินสวินสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ในดวงตาเผยการตัดสินใจ
บาดแผลของเขาย่ำแย่มาก จิตวิญญาณ ร่างกาย พลังปราณล้วนเสียหายรุนแรง สำหรับคนอื่นๆ นี่ไม่ต่างอะไรกับการกลายเป็นคนไร้ประโยชน์
ทว่าสำหรับหลินสวินที่มีประสบการณ์สร้างมรรควิถีขึ้นใหม่หลายครั้ง นี่กลับเป็นโอกาสในการสร้างใหม่อีกครั้ง!
หลินสวินหยิบลูกกลอนโอสถสีเขียวที่ราวกับตามังกรเม็ดหนึ่งออกมา หลังจากกลืนเข้าไปในร่าง พลังโอสถที่อบอุ่นนั่นกลายเป็นกระแสพลังรุ่มร้อน ไหลไปทั่วร่างกายของหลินสวิน
ร่างที่เหือดแห้ง พลังชีวิตอ่อนแอมานานของเขา พลันเหมือนพื้นดินแห้งแล้งได้เจอสายฝน ดูดซึมพลังโอสถอันพลุ่งพล่านที่มหัศจรรย์นั่นอย่างบ้าคลั่งตะกละตะกลาม
หลินสวินหลับตาแน่น กายใจว่างเปล่า ร่างกายและดวงจิตจดจ่อกับการนั่งสมาธิ สีหน้าเต็มไปด้วยความเคร่งขรึมและสงบนิ่ง
……………………..