การปรากฏตัวของฮั่วซิงตู สำหรับทุกคนแล้วไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าเห็นบุคคลในตำนานมาเยือน สีหน้าแต่ละคนเต็มไปด้วยความยำเกรง
แคว้นเมฆวารีประกอบด้วยเมืองหนึ่งร้อยแปดสิบเมือง และฮั่วซิงตูสามารถขึ้นเป็นเจ้าแคว้นเมฆวารีได้ ความแข็งแกร่งของเขาหยั่งลึกกลางใจผู้ฝึกปราณทุกคนในกาลเวลาไร้สิ้นสุดนี้มานานแล้ว
“ใต้เท้า ช่วยชีวิตลูกชายผู้น่าสงสารของข้าด้วย!”
และท่ามกลางบรรยากาศเงียบกริบนี้ ฉินเซี่ยวทงที่ถูกหนึ่งฝ่ามือของหลินสวินตบกระเด็นออกไปก็ตะโกนอย่างบ้าคลั่ง เหมือนคว้าฟางช่วยชีวิตเส้นสุดท้าย
ฮั่วซิงตูขมวดคิ้ว ทอดสายตามองหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “สหายน้อยคิดว่าข้อเสนอแนะของข้าเป็นอย่างไร”
สายตาทุกคนมองไปอย่างควบคุมไม่ได้เช่นเดียวกัน ลอบกล่าวในใจว่าใต้เท้าฮั่วซิงตูถึงขั้นมาเยือนแล้ว เจ้ายังจะไม่ไว้หน้าได้หรือ
แต่เหนือความคาดหมายของทุกคน หลินสวินไม่สนใจฮั่วซิงตูสักนิด ผินหน้าไปพูดกับเสี่ยวซีที่อยู่ข้างตัว “เจ้าคิดว่าเด็กเหลือขอนั่นเป็นคนโง่หรือไม่”
เสี่ยวซีอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าว “แน่นอนว่าไม่ใช่”
“เช่นนั้นเจ้าคิดว่าเจ้าเฒ่านั่นเป็นคนโง่หรือไม่”
“คนที่เป็นถึงเจ้าเมืองเมืองหนึ่งย่อมไม่โง่แน่นอน”
หลินสวินพยักหน้ากล่าว “เจ้าพูดถูก ตอนนี้พวกเขาดูน่าสงสารเพราะยั่วโทสะข้า แต่หากครั้งนี้ข้าไม่อยู่ เจ้าคิดว่าจุดจบของเจ้าจะเป็นอย่างไร”
เสี่ยวซีใคร่ครวญครู่หนึ่งก่อนจะตัวสั่นหวาดกลัว หากถูกจับตัวไป ด้วยพลังของตนมีหรือจะตอบโต้ไหว
ถึงตอนนั้นเกรงว่าต้องพบเจอความอับอายและทุกข์ทรมานชนิดอยู่ก็ไม่ได้ ตายก็ไม่สามารถอย่างแน่นอน!
“เช่นเดียวกัน หากเปลี่ยนให้คนใดคนหนึ่งในหมู่คนที่มามุงดูเหล่านั้นเป็นเจ้า จุดจบต้องน่าสังเวชเป็นแน่ แต่สองพ่อลูกคู่นี้ยังคงใช้ชีวิตรุ่งเรื่องเฟื่องฟู อิสระเสรีได้ตามเดิม”
ยามที่หลินสวินเอ่ยประโยคนี้ออกมา สีหน้าผู้คนที่มามุงดูเหล่านั้นชักเริ่มผิดแปลกไป
เพราะนี่คือเรื่องจริง!
โลกนี้ไม่มีปาฏิหาริย์มากมายขนาดนั้น สองพ่อลูกฉินเซี่ยวทงไม่ใช่คนโง่เด็ดขาด ครั้งนี้ที่พวกเขาล้ม เป็นเพราะเตะโดนแผ่นเหล็ก
อันที่จริงใครจะไปคาดคิดกัน ว่าข้างกายเด็กสาวสวมชุดบ้านๆ คนหนึ่งจะมียอดฝีมือที่ซ่อนคมในฝักติดตามอยู่
“เจ้าหนุ่ม นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
ฮั่วซิงตูสีหน้าชักเริ่มไม่น่ามองขึ้นมาแล้ว ภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคน กลับถูกหลินสวินเมินเหมือนมองไม่เห็น นี่ทำให้เกียรติของเขาถูกท้าทายอย่างร้ายแรง
ด้วยฐานะของเขากลับถูกปฏิบัติเช่นนี้ นี่ทำให้ในใจเขาอึดอัดถึงขีดสุด
“หมายความว่าอย่างไรหรือ หากเป็นลูกสาวเจ้าถูกปฏิบัติเหมือนอย่างเมื่อครู่ เจ้ายังจะร้องว่าความแค้นพึงละไม่พึงผูกอยู่อีกหรือไม่”
มุมปากหลินสวินผุดแววเย้ยหยัน “หากตอนที่เกิดเรื่องเช่นนั้นจริง จู่ๆ มีคนโผล่ออกมาขอให้เจ้ายอมถอยหนึ่งก้าว รามือไว้เพียงเท่านี้ เจ้า… จะรู้สึกอย่างไร”
ฮั่วซิงตูสีหน้าอึมครึมยิ่ง เอ่ยว่า “พูดไปพูดมา นี่เจ้าไม่คิดจะไว้หน้าข้าใช่หรือไม่”
บรรยากาศทั่วบริเวณพลันเปลี่ยนเป็นกดดันขึ้นมา
“ข้าเห็นแก่ที่ไม่มีแค้นพยาบาทต่อกันจึงได้ถกเหตุผลกับเจ้า แต่เจ้ากลับเอาสิ่งที่เรียกว่าหน้าตามาข่มขู่ข้า”
หลินสวินกล่าวถึงตรงนี้ก็อดหัวเราะไม่ได้ มองฮั่วซิงตูด้วยสายตาลุ่มลึก “นี่เรียกว่า… ไว้หน้าแล้วยังไม่รู้สำนึกใช่หรือไม่”
ประโยคนี้ไม่เพียงแต่ไม่เกรงใจ ซ้ำยังแฝงกลิ่นอายเหยียดหยามและหลู่เกียรติ
ผู้ที่มุงดูเหล่านั้นล้วนเบิกตากว้าง ยากจะเชื่อ เจ้าหมอนี่บ้าไปแล้วชัดๆ ถึงกับกล้าลบหลู่ใต้เท้าฮั่วซิงตูขนาดนี้ ไม่กลัวตายจริงๆ หรือ!?
กลับเห็นใบหน้าชราของฮั่วซิงตูคล้ำเขียว ไอสังหารในดวงตาพวยพุ่ง กี่ปีมาแล้ว เขาเพิ่งเคยพบเจอคนบ้าระห่ำที่โอหังไม่สนโลกเช่นนี้เป็นครั้งแรก
ตูม!
อานุภาพระดับบรรพจารย์อันน่าสะพรึงสายหนึ่งทะลักออกมาจากตัวเขา ทำให้เขามีบารมีดุจฟ้า กดดันจนทั่วทั้งที่นั้นสั่นโคลงรุนแรง
ผู้ฝึกปราณใกล้เคียงยิ่งถอยหลบไปไกลๆ สีหน้าหวาดหวั่น
แต่หลินสวินกลับเหมือนไม่รู้สึกรู้สา กล่าวเรียบๆ ว่า “อายจนพานโมโหคิดจะลงมือหรือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ วันนี้ก็จะกำราบเฒ่าชราเช่นเจ้าไปพร้อมกันเสียเลย”
“คุยโวไม่อายปาก!” ฮั่วซิงตูเดือดจัด ขณะที่กำลังจะลงมือ
“ช้าก่อน!”
จู่ๆ เสียงเย็นชาสายหนึ่งก็ดังขึ้น จากนั้นหญิงสวมเสื้อคลุมนกกระเรียนสีม่วงเข้มทั้งตัว ผมดำเกล้าเป็นมวย หน้าตางดงามหยาดเยิ้มคนหนึ่งเดินเข้ามาในจวน
ท่วงท่าเหนือคนทั่วไปเช่นนั้น เพิ่งปรากฏตัวก็กลายเป็นจุดสนใจของคนทั้งลาน
แต่ผู้ชมรอบบริเวณเหล่านั้น มองเข้าไปเพียงปราดเดียวก็ขนลุกเกรียวไปทั้งตัว ในใจเกิดความหวาดกลัว รีบก้มหน้าลงทันที ประหนึ่งขุนนางพบกับจอมราชัน ราวกับว่าหากมองอีกแม้แต่นิดเดียวก็จะถือเป็นการดูหมิ่นและจาบจ้วงยิ่งยวด
ส่วนฮั่วซิงตูที่ก่อนหน้านี้ยังเดือดดาลไร้สิ้นสุด เวลานี้กลับเผยสีหน้าแปลกใจ เดินไปข้างหน้าทันที แล้วโค้งคำนับพลางกล่าวว่า “ใต้เท้า ทำให้ท่านพลอยตกใจไปด้วยหรือ”
เมื่อเห็นภาพนี้ ทุกคนในที่นี้ล้วนรู้สึกปั่นป่วนในใจ สมองมึนตื้อ
ใต้เท้าฮั่วซิงตูมีฐานะเช่นไร แต่ตอนนี้ถึงกับถ่อมตัวเช่นนี้!?
ชั่วขณะนี้ไม่ว่าใครต่างมองออกว่าหญิงสาวบุคลิกงามสง่าซึ่งปรากฏตัวกะทันหันคนนี้มีที่มาไม่ธรรมดาสุดขีด หาไม่มีหรือจะทำให้เจ้าแคว้นเมฆวารียังก้มหัวได้
ทว่าสตรีผู้นั้นกลับไม่สนใจฮั่วซิงตู แต่เดินตรงมาหยุดเบื้องหน้าหลินสวิน ก้มหน้าหลุบตาลงคารวะคราหนึ่ง ในเสียงอ่อนนุ่มเจือความยำเกรง กล่าวว่า “สหายยุทธ์ ไม่พบกันหนึ่งปี สบายดีหรือไม่”
ทั่วลานตะลึงอึ้งค้าง เงียบกริบไร้เสียง
ภาพเช่นนี้ทำให้คนอ้าปากค้างจนคางยืดแตะพื้นได้ชัดๆ… นี่มันเรื่องอะไรกัน!?
โดยเฉพาะฮั่วซิงตู เขายังคงอยู่ในท่าโค้งคำนับนอบน้อม เมื่อเห็นภาพเหตุการณ์นี้ ภายในใจเหมือนมีม้าป่าพุ่งทะยาน อึ้งงันไปทั้งตัว
หรือว่าตน… ล่วงเกิน… คนใหญ่คนโตที่ซ่อนคมไว้ลึกเร้นเข้าให้แล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ร่างฮั่วซิงตูล้วนแข็งทื่อ ใบหน้าชราค้างแข็งดูไม่น่ามองยิ่งกว่าร้องไห้ นี่แม่งเรื่องบ้าอะไรกัน!
“เป็นท่าน พี่สาวคนสวยคนนั้น!” เสี่ยวซีที่ตกตะลึงอดร้องอุทานไม่ได้
หนึ่งปีก่อนหญิงสาวชุดม่วงงดงามคนนี้เคยปรากฏตัวที่หมู่บ้านเงาเมฆา มีหรือนางจะจำไม่ได้
คนผู้นี้ย่อมเป็นเนี่ยชิงหรง รองเจ้าสำนักสำนักศึกษาสองลักษณ์
“ไม่พบกันปีเดียว น้องสาวเองก็งามสดใสมากขึ้นเรื่อยๆ เช่นกัน” เนี่ยชิงหรงน้ำเสียงอ่อนละมุน
เวลานี้ทุกคนในที่นั้นล้วนเหมือนถูกฟ้าผ่า มองภาพเหล่านี้ด้วยอาการอึ้งค้าง มีหรือจะไม่รู้ว่าฐานะของหลินสวินและเสี่ยวซีไม่ได้เรียบง่ายเหมือนอย่างที่พวกเขาคิดไว้
“เจ้าก็จะมาพูดโน้มน้าวเหมือนกันหรือ” หลินสวินขมวดคิ้ว
หนึ่งปีก่อนเขาเคยเตือนเนี่ยชิงหรง จนกระทั่งตอนนี้ยังไม่เกิดเหตุร้ายอะไร และไม่มีคลื่นลมใดๆ พัวพันไปถึงหมู่บ้านเงาเมฆา นี่พิสูจน์ว่าเนี่ยชิงหรงฉลาดมากอย่างไม่ต้องสงสัย และไม่ได้นำเรื่องที่เกี่ยวกับตนไปเปิดเผย ยิ่งไม่ได้ดำเนินการแก้แค้นอะไร
ดูจากจุดนี้ ความประทับใจที่หลินสวินมีต่อเนี่ยชิงหรงจึงเปลี่ยนไปไม่น้อย แต่หากนางมาพูดโน้มน้าว เช่นนั้นก็ต่างออกไปแล้ว
เนี่ยชิงหรงรีบอธิบายเป็นพัลวัน “สหายยุทธ์เข้าใจผิดแล้ว เรื่องคัดเลือกศิษย์ในแคว้นเมฆวารีของสำนักศึกษาสองลักษณ์ครั้งนี้ข้าเป็นคนรับผิดชอบ เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าจะพบกับสหายยุทธ์ที่นี่ด้วย”
“ที่แท้เป็นเช่นนี้”
หลินสวินเพิ่งกระจ่าง เนี่ยชิงหรงเป็นรองเจ้าสำนักสำนักศึกษาสองลักษณ์ มาปรากฏตัวก่อนการคัดเลือกก็เป็นเรื่องสมเหตุสมผล
และก็เป็นเวลานี้ที่ฮั่วซิงตูเดินเข้ามา โค้งตัวคำนับ ใบหน้าเผยแววละอาย น้ำเสียงสั่นเครือน้อยๆ “เฒ่าชราเช่นข้ามีตาแต่หามีแววไม่ ล่วงเกินใต้เท้าโดยไม่ตั้งใจ หวังให้ใต้เท้าให้อภัยด้วย!”
หน้าผากเจียนจะก้มต่ำติดปลายเท้าแล้ว
ท่าทางสำนึกผิดเช่นนี้ ทำให้ผู้ชมรอบบริเวณเหล่านั้นมองจนปลายคางแทบจะร่วง นี่ยังเป็นเจ้าแคว้นเมฆวารีผู้สูงส่งดุจเทพไท้ในใจพวกเขาอยู่หรือไม่
ฉินเซี่ยวทงเองก็อึ้งค้างอยู่ตรงนั้นเช่นกัน ร่างกายเย็นวาบราวตกสู่ถ้ำน้ำแข็ง เหตุการณ์เป็นฉากๆ ที่เกิดขึ้นตรงหน้าทำให้เขารับรู้ถึงความไม่ผิดปกติสุดขีด ประหนึ่งภัยพิบัติจะบังเกิดได้ทุกเมื่อ!
หลินสวินมองฮั่วซิงตูที่ก้มหัวอยู่ตรงหน้าก็อดยิ้มหยันไม่ได้ “มีแต่อยู่ในสถานการณ์แบบนี้เท่านั้น ที่ ‘เฒ่าชรา’ เช่นเจ้าถึงรู้จักถ่อมตัวและละทิ้งสิ่งที่เรียกว่าหน้าตาหรือ”
ศีรษะของฮั่วซิงตูยิ่งน้อมต่ำลงไปอีก น้ำเสียงแหบพร่าขื่นขม “ใต้เท้าโปรดระงับโทสะด้วย!”
พอเห็นว่าแม้แต่เนี่ยชิงหรงยังออกอาการพินอบพิเทา มีหรือเขาจะกล้าวางโตอีก และยังจะกล้าพูดถึงสิ่งที่เรียกว่าเกียรติและหน้าตาอีกเสียที่ไหน
หน้าตาชราอะไรล้วนไม่มัวสนใจแล้ว!
บรรพจารย์จักรพรรดิแล้วอย่างไร ในสายตาคนใหญ่คนโตตัวจริงของโลกยอดนิรันดร์เหล่านั้น ก็ไม่พ้นเป็นเพียงคนที่สามารถชี้เป็นชี้ตายได้ก็เท่านั้น
“อยากให้ข้าระงับโทสะนั้นง่ายมาก เจ้ามาลงมือ กำจัดปราณของสองพ่อลูกคู่นี้ด้วยตัวเอง” หลินสวินเอ่ยพูดง่ายๆ
ปึง!
ฉินเซี่ยวทงที่ว้าวุ่นมานานเพิ่งตะกายตัวขึ้นมาได้ ตอนนี้ทรุดตัวคุกเข่าบนพื้นตรงๆ ศีรษะโขกพื้น กล่าวเสียงวิงวอน “ใต้เท้าไว้ชีวิต ใต้เท้าไว้ชีวิตด้วย!”
หลินสวินกลับไม่สนใจสักนิด กล่าวกับเสี่ยวซีว่า “ยายหนู ตอนนี้รู้สึกอย่างไรบ้าง”
เสี่ยวซีร้องหาคราหนึ่ง ขณะที่จะพูดอะไรกลับถูกหลินสวินเอ่ยห้ามไว้ด้วยรอยยิ้ม “เก็บไว้ในใจก็พอ เหตุผลภายในนี้ รอเจ้าปราณสูงขึ้นเรื่อยๆ เดี๋ยวก็ค่อยๆ เข้าใจเอง”
ว่าพลางเขาพาเสี่ยวซีเดินออกไปนอกจวน
ตั้งแต่ต้นจนจบไม่ได้มองพวกฮั่วซิงตู ฉินเซี่ยวทงอีกเลย
“เรื่องในที่นี้เจ้ามาจัดการเอง หากจัดการไม่ดี ก็ให้ข้าเป็นคนจัดการ”
เนี่ยชิงหรงปรายตางามมองฮั่วซิงตูปราดหนึ่ง ก่อนหมุนตัวตามหลังหลินสวินและเสี่ยวซีไป
จนกระทั่งเงาร่างชดช้อยงามสง่าของเนี่ยชิงหรงหายลับไป
ฮั่วซิงตูจึงเงยหน้าขึ้น สีหน้าเปลี่ยนเป็นมืดทะมึนน่ากลัว แววตาเหมือนจะจับคนมากินเลือดกินเนื้อ ทอประกายน่าหวาดหวั่น
“ฉินเซี่ยวทง เจ้ารู้ความผิดหรือไม่” เขาเอ่ยพูดเย็นชา
“ใต้เท้า ข้า…”
ฉินเซี่ยวทงขวัญกระเจิง หน้าซีดขาว เพิ่งอ้าปากกำลังจะอธิบาย จู่ๆ ฮั่วซิงตูก็ตบฝ่ามือหนึ่งเข้ามา
ปึง!
ฉินเซี่ยวทงกระอักเลือด ทั่วร่างกระตุกเกร็ง มรรควิถีในกายอันตรธานหายเกลี้ยงราวลูกหนังที่ถูกเจาะทะลุ ทั้งตัวเหมือนแก่ชราลงหลายปีในคราวเดียว
“อย่าโทษข้า ทั้งหมดนี้เจ้าเป็นคนหาเรื่องเอง” ฮั่วซิงตูว่าพลางทอดสายตามองฉินฮุยหรันที่อยู่ไม่ไกล
เด็กหนุ่มอายุสิบกว่าปีคนนี้ตกใจจนขวัญกระเจิงนานแล้ว ตอนที่ถูกสายตาของฮั่วซิงตูจ้องมอง เบื้องหน้าถึงกับพลิกหมุน ตกใจจนเป็นลมล้มทั้งยืน
“สวะ!”
สายตาฮั่วซิงตูทอประกายดูหมิ่น ดีดนิ้วคราหนึ่ง
ปึง!
ปราณในตัวฉินฮุยหรันก็ถูกทำลายทิ้งหมดเกลี้ยงเช่นกัน
“ทหาร โยนพวกเขาสองพ่อลูกออกไป นับแต่วันนี้เป็นต้นไป ตำแหน่งเจ้าเมืองเมืองหลิวเขียวนี้มอบให้คนอื่นมาดูแล!”
ฮั่วซิงตูออกคำสั่ง
องครักษ์ทั้งกลุ่มที่ก่อนหน้านี้ยังเชื่อฟังคำสั่งของสองพ่อลูกตระกูลฉินพุ่งตัวออกมาทันที ลากตัวพวกเขาสองคนออกไป
เมื่อเห็นภาพทุกอย่างนี้กับตาตัวเอง ผู้คนในบริเวณโดยรอบเหล่านั้นไม่สามารถดึงสติกลับมาได้อยู่นาน อารมณ์สั่นสะท้านภายในใจแผ่ขยายไปทั่วร่างอย่างควบคุมไม่ได้
ก่อนหน้านี้ใครจะกล้าเชื่อ ว่าข้อพิพาทนี้จะจบลงด้วยวิธีที่แปลกพิสดารเช่นนี้
…………………….