เมืองหลิวเขียว
บนท้องถนนพลุกพล่านจอแจ เสี่ยวซีดูเหม่อลอยจิตใจไม่อยู่กับตัว
เรื่องที่ประสบมาก่อนหน้านี้สร้างแรงโจมตีให้นางมากเกินไป จำเป็นต้องใช้เวลาทำให้ตัวเองสงบลง
หลินสวินไม่ได้พูดอะไรอีก
นี่อาจเป็นราคาของการเติบโต
กระดาษที่ขาวสะอาดแค่ไหน เมื่อผ่านการเคี่ยวกรำของเรื่องราวบนโลก ก็ต้องเปลี่ยนเป็นม้วนภาพที่ต่างออกไป
“สหายยุทธ์”
เนี่ยชิงหรงในชุดคลุมนกกระเรียนสีม่วงเข้ม มาดงามสง่าไล่ตามหลังมา หญิงสาวคนนี้ผิวพรรณนวลผ่อง งดงามมีเสน่ห์ เอวกลมกลึงมือเดียวโอบรอบ เนินอกอวบอิ่มชวนตะลึงสุดขีด เดิมเป็นคนงามไร้ทัดเทียม แต่บุคลิกกลับเย็นชาดุจน้ำแข็ง ให้ความรู้สึกตัดกันเด่นชัดแก่สายตาผู้คน
“มีธุระเชิญพูดมาตรงๆ”
หลินสวินชะงักเท้า หันมองเนี่ยชิงหรง ไม่ได้แปลกใจที่อีกฝ่ายตามมา
เนี่ยชิงหรงหลุบตางามลง เอ่ยเสียงเบา “ข้าเห็นว่าน้องสาวคนนี้จะลงชื่อเข้าร่วมคัดเลือก คิดว่าคงตั้งใจจะมุ่งหน้าไปฝึกปราณที่สำนักศึกษาสองลักษณ์เช่นกัน”
หลินสวินพยักหน้า “ถูกต้อง”
เนี่ยชิงหรงสูดหายใจลึก คล้ายเรียกความกล้า ใช้ดวงตาโตเรียวคู่นั้นมองหลินสวินแล้วเอ่ยว่า “สหายยุทธ์ หากเจ้าเชื่อใจข้า เรื่องนี้ข้าสามารถช่วยเหลือได้”
“เหตุใดต้องทำเช่นนี้” หลินสวินถาม
เนี่ยชิงหรงพิจารณาครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยวาจา “หากข้าบอกว่าอยากผูกสัมพันธ์อันดีกับสหายยุทธ์ สหายยุทธ์จะเชื่อหรือไม่”
หลินสวินกล่าว “เชื่อ”
คำตอบที่ไม่เสียเวลาหยุดคิดเช่นนี้ทำให้เนี่ยชิงหรงอดแปลกใจไม่ได้ เดิมทีนางเตรียมพร้อมจะอธิบายอย่างอดทน แต่ตอนนี้กลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรแล้ว
“ยายหนู เจ้ายินดีมุ่งหน้าไปฝึกปราณที่สำนักศึกษาสองลักษณ์กับนางหรือไม่” หลินสวินเบนสายตามองเสี่ยวซีที่อยู่ข้างตัว
เสี่ยวซีเห็นชัดว่าตื่นเต้นมาก นัยน์ตาใสกระจ่างทอประกายปรารถนา แต่ยังคงกล่าวอย่างลังเลว่า “พี่เต้ายวน ข้าเชื่อฟังท่าน”
ภาพนี้ จู่ๆ ทำให้หลินสวินนึกถึงจ้าวจิ่งเซวียนขึ้นมา
ปีนั้นตอนอยู่ที่ทะเลหมากดาราในดินแดนรกร้างโบราณ อ๋าวเจิ้นเทียนเคยมุ่งหน้ามาหมายจะรับจ้าวจิ่งเซวียนไปร่วมงานชุมนุมเซียนหมื่นมังกรในแดนเจินหลง จ้าวจิ่งเซวียนในตอนนั้นก็ให้อารมณ์และคำตอบแบบนี้เช่นเดียวกัน
เมื่อนึกถึงอดีตที่ผ่านมา หลินสวินก็อดทอยิ้มบางๆ ไม่ได้ ก่อนเอ่ยว่า “เช่นนั้นก็ไป”
เขาเองก็เข้าใจกระจ่างแล้วเช่นกัน ภายหน้าอยู่ในสำนักศึกษาสองลักษณ์ หากมีการดูแลจากเนี่ยชิงหรง ยายหนูเสี่ยวซีคนนี้ไม่มีทางถูกรังแกแน่นอน
และเพราะเหตุนี้เอง ก่อนหน้านี้ตอนที่ตอบคำถามเนี่ยชิงหรง เขาจึงให้คำตอบชัดเจนแก่อีกฝ่าย และถือเป็นการแสดงไมตรีจิตอยู่ในที
เนี่ยชิงหรงเห็นชัดว่าแข็งขันยิ่ง เนตรงามวาววับ ชุ่มฉ่ำดุจริ้วคลื่นยามสารท กล่าวเสียงนุ่ม “ด้วยพรสวรรค์ของน้องสาว ภายหน้าต้องโดดเด่นเฉิดฉายในสำนักศึกษาสองลักษณ์เป็นแน่”
หลินสวินกล่าว “ข้าหวังเพียงให้นางสงบสุขปลอดภัยก็พอ”
เนี่ยชิงหรงอึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนกล่าว “สหายยุทธ์วางใจได้ ในสำนักศึกษาสองลักษณ์ไม่มีใครกล้ามารังแกน้องสาวคนนี้แน่”
เสียงเปี่ยมความมั่นอกมั่นใจอย่างยิ่ง
“ข้าว่างอยู่พอดี ไม่รู้ว่าสำนักศึกษาสองลักษณ์จะต้อนรับคนนอกอย่างข้าไปเยี่ยมเยือนหรือไม่” หลินสวินถาม
เนตรงามของเนี่ยชิงหรงวาววับ น้ำเสียงนุ่มนวลเจือความยินดีเสี้ยวหนึ่ง กล่าวขึ้นว่า “หากสหายยุทธ์สามารถมาเยี่ยมได้ ต้องเป็นเกียรติแก่สำนักศึกษาสองลักษณ์ของข้าแน่”
“ใต้เท้า”
ไกลออกไปฮั่วซิงตูกุลีกุจอเข้ามา โค้งคำนับอย่างเคารพนบนอบให้กับเนี่ยชิงหรงก่อนเป็น จากนั้นจึงหันไปโค้งคำนับกล่าวกับหลินสวิน “พ่อลูกตระกูลฉินจัดการตามสมควรแล้ว ข้าจึงมารายงานต่อผู้อาวุโสโดยเฉพาะ”
หลินสวินร้องอืมคราหนึ่ง ไม่ยินดียินร้าย
เนี่ยชิงหรงจึงเอ่ยขึ้นว่า “ฮั่วซิงตู วันนี้ข้าจะจากไปแล้ว เรื่องคัดเลือกศิษย์ยกให้เจ้าเป็นผู้รับผิดชอบ”
ฮั่วซิงตูรีบพยักหน้าขานรับเป็นพัลวัน
“สหายยุทธ์ จะออกเดินทางเดี๋ยวนี้เลยหรือไม่” เนี่ยชิงหรงทอดสายตามองหลินสวิน
“ได้”
หลินสวินตอบรับ
กระทั่งมองส่งเงาร่างเขาและเนี่ยชิงหรงจนหายลับในบริเวณไกลออกไป ฮั่วซิงตูจึงลอบปาดเหงื่อเย็นคราหนึ่ง ในฐานะบรรพจารย์จักรพรรดิ เขาไม่ได้หวาดหวั่นครั่นคร้ามจากใจเช่นนี้มานานแล้ว
…
สวบ!
ส่วนลึกของชั้นเมฆบนเวิ้งฟ้า ยานสมบัติมหึมาเท่าภูเขาลำหนึ่งบินทะยาน
บนยานสมบัติ หลินสวินเอนพิงหัวยานอย่างสบายๆ ถือน้ำเต้าสุรายกขึ้นดื่ม
ในตัวยานด้านหลังมีเสียงหัวเราะเสนาะหูดังลอยออกมาเป็นพักๆ เสียงหนึ่งหวานหยาดเยิ้มชวนหลงใหล เสียงหนึ่งเจื้อยแจ้วใสกังวาน
นั่นคือบทสนทนาระหว่างเนี่ยชิงหรงกับเสี่ยวซี ตั้งแต่เริ่มเหยียบขึ้นยานสมบัติ เนี่ยชิงหรงก็ตั้งใจผูกมิตรกับเสี่ยวซี ปล่อยวางมาดพูดคุยกับเสี่ยวซี ไม่ทันไรความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก็ก็ค่อนข้างสนิทสนมกลมเกลียวกันแล้ว
หลินสวินมองเห็นอยู่ในสายตา แต่ไม่ได้พูดอะไร
อันที่จริงเสี่ยวซีเพิ่งออกจากหมู่บ้านเงาเมฆา ได้เห็นและสัมผัสทุกสิ่งทุกอย่างในน่านฟ้าที่หนึ่งเป็นครั้งแรก ทว่าเขาเองก็ไม่ใช่เหมือนกันหรอกหรือ
แต่สิ่งที่ต่างไปจากเสี่ยวซีคือ เขาแค่มีประสบการณ์เจนจัดโชกโชนก็เท่านั้น
หลินสวินดื่มสุราไปพลางขณะหยิบม้วนหยกอันหนึ่งออกมา
นี่คือตำราโบราณชื่อว่า ‘ศาสตร์ปกครองทั่วหล้า’ ที่ซื้อมายามเดินเล่นในเมืองหลิวเขียว บนนั้นบันทึกเรื่องราวบางส่วนที่เกี่ยวกับน่านฟ้าที่หนึ่งเอาไว้
‘สี่แดนใหญ่’
‘สี่สำนักศึกษาใหญ่’
‘เขตผนึกทั่วหล้า’
‘เขาวิญญาณแดนมงคล’
‘ความลับโบราณ’
‘เขาเซียนนอกแดน’
…ใน ‘ศาสตร์ปกครองทั่วหล้า’ นี้ ลำพังแค่สารบัญก็ปาไปเป็นร้อย ในแต่ละสารบัญครอบคลุมหมื่นสิ่ง กว้างใหญ่ดุจควัน แทบจะเขียนบันทึกเรื่องราวต่างๆ นับแต่อดีตถึงปัจจุบันเอาไว้โดยละเอียด
หลินสวินอดรู้สึกเหมือนได้เปิดโลกไม่ได้ อ่านอย่างออกรสออกชาติ
และค่อยๆ มีความรู้เกี่ยวกับน่านฟ้าที่หนึ่งขึ้นมาบ้างแล้ว
อิงตามบันทึกในหนังสือ ทั่วทั้งโลกยอดนิรันดร์ น่านฟ้าที่หนึ่งตั้งอยู่รอบนอกสุด ความกว้างใหญ่ของพื้นที่สามารถเปรียบได้กับเนื้อที่ของโลกนับร้อยใบ!
พื้นที่กว้างใหญ่เช่นนี้แบ่งออกเป็นสี่แดนใหญ่ ประกอบด้วยทุ่งบูรพา หมอกประจิม ลมอุดร เพลิงทักษิณ
ในแต่ละแดน ล้วนมีสำนักศึกษาหนึ่งแห่ง แบ่งออกเป็นสำนักศึกษาสองลักษณ์ในแดนทุ่งบูรพา สำนักศึกษาดาราในแดนหมอกประจิม สำนักศึกษาไม้รกร้างในแดนหมอกประจิม และสำนักศึกษาเยือกแข็งในแดนเพลิงทักษิณ
ส่วนสี่สำนักศึกษาใหญ่ เป็นตัวแทนของสี่ขุมอำนาจใหญ่ระดับปลายยอดของน่านฟ้าที่หนึ่ง เรียกได้ว่าเป็นนายเหนือหัว เบื้องหลังแต่ละสำนักศึกษาล้วนมีเผ่าจักรพรรดิอมตะที่แตกต่างกันคอยหนุนอยู่
เผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านี้แทบจะเป็นคนใหญ่คนโต ดำรงตำแหน่งสำคัญในน่านฟ้าที่หกทั้งสิ้น!
ไม่เพียงเท่านี้
ในน่านฟ้าที่สอง สาม สี่ และห้า ก็เป็นสถานการณ์แบบเดียวกันนี้
อย่างน่านฟ้าที่สอง มีขุมอำนาจใหญ่ที่ครองอำนาจทั่วหล้าแห่งหนึ่ง นามว่า ‘สำนักศึกษาเก้าทมิฬ’ เรียกว่าเป็นขุมอำนาจอันดับหนึ่งในน่านฟ้าที่สองได้เลย ไม่มีที่ใดเทียบเทียม
แต่คนใหญ่คนโตระดับสูงภายในสำนักศึกษาเก้าทมิฬแห่งนี้ ล้วนมาจากเผ่าจักรพรรดิอมตะที่แตกต่างกันในน่านฟ้าที่หกเกือบทั้งหมด
หรือกล่าวได้ว่า สำนักศึกษาเก้าทมิฬแห่งเดียว ความจริงแล้วเป็นเครื่องแสดงกำลังพลของเผ่าจักรพรรดิอมตะทั้งกลุ่มในน่านฟ้าที่หก!
สถานการณ์ทำนองนี้ก็มีอยู่ในน่ายฟ้าที่สาม สี่ และห้าเช่นเดียวกัน
ที่เป็นเช่นนี้สาเหตุง่ายดายยิ่ง
เผ่าจักรพรรดิอมตะในน่านฟ้าที่หกเหล่านั้น เปรียบดั่งตระกูลชั้นสูงที่อยู่เหนือเก้าสวรรค์ แม้ปักหลักอยู่ในน่านฟ้าที่หก แต่อิทธิพลของพวกเขากลับแทรกซึมไปยังพื้นที่ต่างๆ ที่อยู่ต่ำกว่าน่านฟ้าที่หก
จุดประสงค์ที่ทำเช่นนี้ ไม่มีอะไรนอกจากทำไปเพื่อให้ได้รับทรัพยากรฝึกปราณที่มากยิ่งขึ้น
ยกตัวอย่างเช่นสำนักศึกษาสองลักษณ์ซึ่งตั้งอยู่ในน่านฟ้าที่หนึ่ง เป็นนายเหนือหัวแห่งแดนทุ่งบูรพา แต่ทุกๆ ช่วงเวลาหนึ่ง จำเป็นต้องนำทรัพยากรฝึกปราณที่เก็บสะสมได้ส่งไปยังน่านฟ้าที่หก
มีเพียงเช่นนี้เท่านั้น จึงจะแลกมาซึ่งการสนับสนุนและเกื้อกูลจากเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้น
ทรัพยากรฝึกปราณเหล่านี้ มีแหล่งแร่ ชีพจรวิญญาณ เจตวัตถุ ของมีค่า สมบัตินานาชนิด… สรุปแล้วขอเพียงเป็นสิ่งของที่เกี่ยวกับการฝึกปราณ ล้วนจะถูกมองเป็น ‘เครื่องบรรณาการ’ นำส่งไปให้น่านฟ้าที่หก
นอกจากนี้ หากสามารถค้นพบ ‘พลังระเบียบ’ ใหม่เอี่ยม ยังจะได้รับรางวัลพิเศษอีกด้วย!
ขณะเดียวกัน การมีอยู่ของสำนักศึกษาสองลักษณ์ยังมีจุดประสงค์อื่นอีก นั่นก็คือเลือกเฟ้นผู้ฝึกปราณที่เป็นต้นกล้าพันธุ์ดีมีพรสวรรค์โดดเด่นให้กับเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้นในน่านฟ้าที่หก
สันนิษฐานจากจุดนี้ ขุมอำนาจเช่นเดียวกับสำนักศึกษาสองลักษณ์ ส่วนใหญ่ล้วนรับหน้าที่ช่วยเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้นรวบรวมทรัพยากรฝึกปราณ และส่งมอบศิษย์ชั้นดีไปให้
นี่เปรียบได้กับการ ‘จ่ายภาษี’ ในราชวงศ์โลกมนุษย์ โดยเก็บรวบรวมภาษีจากมณฑล รัฐ เมืองเป็นชั้นๆ จากนั้นจึงนำส่งเมืองหลวงของจักรวรรดิ
ในทำนองเดียวกัน การสอบเคอจวี่ที่ดำเนินการในมณฑล รัฐ และเมืองนั้น ก็ไม่มีอะไรมากไปกว่าการส่งผู้มีความสามารถไปยังเมืองหลวงของจักรพรรดิ
หากเปรียบเทียบเช่นนี้ น่านฟ้าที่หนึ่งก็เท่ากับอยู่ในบทบาทของระดับมณฑล
และสี่สำนักศึกษาใหญ่ของน่านฟ้าที่หนึ่ง ก็เท่ากับจวนว่าการสี่แห่งที่มีหน้าที่เก็บรวบรวมภาษีและคัดเลือกผู้มีความสามารถประจำมณฑล
เมื่อทำความเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้ว หลินสวินยังอดตกใจและสะท้านสะเทือนไม่ได้
กำลังทรัพย์ สิ่งของ และกำลังคนจากห้าน่านฟ้าใหญ่ ถูกรวมไปให้กับเผ่าจักรพรรดิอมตะจากน่านฟ้าที่หกเหล่านั้นทั้งหมด เผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้นไม่อยากแข็งแกร่งยังยาก!
แต่หลินสวินก็รู้ดีว่านี่ก็เหมือนกฎปลาใหญ่กินปลาเล็ก ทรัพยากรฝึกปราณที่เผ่าจักรพรรดิอมตะในน่านฟ้าที่หกเหล่านั้นรวบรวมได้ เกรงว่าก็คง ‘ส่งบรรณาการ’ ไปให้กับน่านฟ้าที่เจ็ดเช่นกัน
การส่งเป็นทอดทีละชั้นเช่นนี้ ก่อให้เกิดระบบและโครงสร้างขุมอำนาจของทั่วทั้งโลกยอดนิรันดร์
คิดๆ แล้วหลินสวินเริ่มจดจ่อศึกษาขุมอำนาจของสี่สำนักศึกษาใหญ่
เบื้องหลังสำนักศึกษาสองลักษณ์มีสามเผ่าจักรพรรดิอมตะคอยหนุนอยู่ ได้แก่ ตระกูลเฮ่อ ตระกูลจู้ และตระกูลหง
หนึ่งในนั้นหลินสวินคุ้นเคยกับตระกูลเฮ่อมาก เป็นตระกูลเฮ่อในสี่เผ่าจักรพรรดิอมตะใหญ่ที่มีตระกูลเหวิน เหิง เผิง และเฮ่อ ซึ่งก็คือเผ่าจักรพรรดิอมตะที่ ‘บรรพจารย์จักรพรรดิอวิ้นหยวน’ อยู่
ตระกูลจู้ หลินสวินก็ไม่ได้รู้สึกแปลกหน้า
ปีนั้นตอนอยู่เมืองพยัคฆ์ครองในด่านนภาอมตะที่สองของแดนใหญ่พันศึก เขาเคยเข้าร่วมงานเลี้ยงที่เผิงเทียนเสียงจัดขึ้นที่จวนเจ้าเมือง ในงานเลี้ยงครั้งนั้นหลินสวินได้สังหารมกุฎมหาจักรพรรดิคนหนึ่งที่ชื่อจู้หลิน
จู้หลินคนนี้ก็คือคนตระกูลจู้จากน่านฟ้าที่หก!
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ หัวคิ้วหลินสวินก็อดขมวดน้อยๆ ไม่ได้
เขาไม่นึกเลยว่าในขุมอำนาจเผ่าจักรพรรดิอมตะที่หนุนอยู่เบื้องหลังสำนักศึกษาสองลักษณ์ ถึงกับมีขุมอำนาจศัตรูคู่แค้นเช่นนี้อยู่ด้วย
ควรรู้ว่าบรรดาเผ่าจักรพรรดิอมตะทั้งหมดที่ออกประกาศจับหลินสวินในประกาศจับที่กระจายไปทุกเมืองทั่วหล้าในตอนนี้ ก็มีตระกูลจู้ที่ว่านี้ด้วย!
หลินสวินไม่ได้นึกกลัวอะไร แต่เขากลับไม่อาจไม่พิจารณาว่าภายหน้าหากฐานะของตนเปิดเผย เสี่ยวซีที่เกี่ยวข้องกับตนจะพลอยเดือดร้อนยามอยู่ในสำนักศึกษาสองลักษณ์ด้วยหรือไม่
‘ดูท่า เรื่องนี้จำเป็นต้องจัดการสักหน่อยถึงจะได้…’ หลินสวินใคร่ครวญ หากไม่กำจัดภัยเงียบเช่นนี้ทิ้ง จะส่งผลร้ายไม่เกิดประโยชน์ต่อเสี่ยวซีแน่นอน
ขณะที่กำลังครุ่นคิดพิจารณา หลินสวินคล้ายรู้สึกถึงบางอย่าง นัยน์ตาหันขวับไปมองบริเวณไกลๆ ทันที
เกือบจะในเวลาเดียวกัน เสียงหัวเราะลั่นสายหนึ่งดังลอยมาจากส่วนลึกของชั้นเมฆไกลโพ้น
“ฮ่าๆๆ ไม่นึกว่าจะถึงกับพบยานสมบัติของรองเจ้าสำนักเนี่ยอยู่ที่นี่ นี่คงจะเป็นลิขิตสวรรค์กระมัง”
ก็เห็นชั้นเมฆถล่มทลาย ห้วงอากาศสั่นรุนแรง เงาร่างที่อานุภาพกร้าวแกร่ง ประกายคมแสบตาทั้งกลุ่มพลันเคลื่อนไหวผ่านอากาศเข้ามา
ทันทีที่ปรากฏตัวก็ขวางเส้นทางเบื้องหน้ายานสมบัติอยู่ไกลๆ จัดวางกระบวน จิตรับรู้เป็นสายๆ กวาดขวางเข้ามาประหนึ่งครอบฟ้าคลุมดิน
อานุภาพเกรียงไกร!
………………..