ทั้งขบวนมีหกเจ็ดคน
ผู้นำคือชายวัยกลางคนในชุดขนนกที่เท้าเหยียบเมฆมงคลสีชาด แขนเสื้อกว้างสะบัดไหว จอนผมสีขาว ทั่วร่างรายล้อมกฎเกณฑ์ระดับบรรพจารย์เป็นสายๆ ชวนเขย่าขวัญกระชากวิญญาณ
บนตัวทุกคนที่อยู่ข้างๆ เขาก็มีกลิ่นอายระดับบรรพจารย์แผ่คลุ้งอยู่เช่นเดียวกัน
สวบ!
เงาร่างเนี่ยชิงหรงปรากฏตัวทันที เมื่อมองเห็นภาพนี้ บนใบหน้างามก็อดเผยไอเย็นสะท้านไม่ได้
“หยวนวั่นฉง สำนักศึกษาเยือกแข็งของพวกเจ้าคิดจะทำอะไร”
เนี่ยชิงหรงกล่าวเย็นชา ยานสมบัติหยุดนิ่ง ห้วงอากาศใกล้เคียงดุดัน บรรยากาศก็เปลี่ยนเป็นกดดันหาใดเปรียบ
“แน่นอนว่าเพื่อแผนภาพลับม้วนนั้นอยู่แล้ว”
ชายวัยกลางคนชุดขนนกที่เป็นผู้นำยิ้มขณะเอ่ยพูด มองสำรวจทรวดทรงของเนี่ยชิงหรงด้วยสายตาจาบจ้วง กล่าวด้วยแววตาแฝงความร้อนเร่า “อีกอย่าง ยังคิดจะถือโอกาสนี้เชิญรองเจ้าสำนักเนี่ยมาเป็นแขกที่สำนักซอมซ่อของข้าด้วย แค่ไม่รู้ว่ารองเจ้าสำนักเนี่ยจะให้เกียรติมาหรือไม่”
นัยน์ตาเนี่ยชิงหรงผุดแววชิงชัง กล่าวว่า “แผนภาพลับที่เจ้าพูดถึงข้าไม่รู้สักนิด อีกอย่างพาคนมากมายเช่นนี้มุ่งหน้ามา ไม่กลัวว่าจะล่วงเกินสำนักศึกษาสองลักษณ์ของข้าสักนิดหรือ”
“ในเมื่อข้ากล้ามา เจ้าคิดว่าพวกเรายังจะกลัวล่วงเกินสำนักศึกษาสองลักษณ์อีกหรือ” ชายวัยกลางคนชุดขนนกเผยแววนึกสนุก “รองเจ้าสำนักเนี่ย เวลามีไม่มากนัก ข้าจะให้ทางเลือกแก่เจ้า จะยอมตามข้าไปดีๆ หรือจะให้พวกเราลงมือพาตัวเจ้าไป”
ทุกคนรอบตัวเขาล้วนจับจ้องมาที่ตัวเนี่ยชิงหรงด้วยสายตาแข็งกร้าว
ในใจเนี่ยชิงหรงหนักอึ้ง ตระหนักได้ถึงความร้ายแรงของปัญหา อีกฝ่ายเคลื่อนไหวครั้งนี้เห็นชัดว่าวางแผนมาล่วงหน้าแล้ว หนำซ้ำยังไม่กลัวแตกหักกับสำนักศึกษาสองลักษณ์ด้วย!
‘สหายยุทธ์ พวกเขามาเพราะข้า อีกเดี๋ยวเจ้าพาเสี่ยวซีหนีไปเถอะ’
นางรีบสื่อจิตทันที ‘ข้าจะทุ่มสุดกำลังถ่วงพวกเขาไว้ ยื้อหนทางรอดให้พวกเจ้า’
‘ไม่คุ้ม’
กลับเห็นหลินสวินส่ายหน้าเอ่ยปฏิเสธ
เนี่ยชิงหรงอึ้งไป
หลินสวินเอ่ยพูดเสียงเรียบโดยรอให้นางตอบสนอง “ภายในสามลมหายใจ หากไม่จากไป เช่นนั้นก็ต่ออยู่กันหมดนี่แหละ”
พวกชายวัยกลางคนชุดขนนกหยวนวั่นฉงล้วนอึ้งไป ก่อนจะหันสายตาไปมองหลินสวิน แววตาเต็มไปด้วยความกังขา แปลกใจและสงสัย
เจ้าหมอนี่เป็นใคร
ปากดีชะมัด!
“สหายยุทธ์ พวกเขามาจากสำนักศึกษาเยือกแข็ง หากเจ้าเข้ามาพัวพันจะเท่ากับผูกแค้นกับสำนักศึกษาเยือกแข็ง เช่นนี้ยิ่งไม่คุ้ม”
เมื่อเห็นว่าหลินสวินหยัดตัวลุกออกมา เนี่ยชิงหรงก็แปลกใจมากเช่นกัน แต่จากนั้นก็อดเตือนอย่างขมขื่นไม่ได้ นางไม่กล้าเอาเรื่องนี้ไปขุดหลุมฝังหลินสวิน
“ข้าได้ยินว่าในเผ่าจักรพรรดิอมตะที่คอยหนุนอยู่เบื้องหลังสำนักศึกษาเยือกแข็งนี่ หนึ่งในนั้นมีตระกูลเหวินด้วยหรือ” จู่ๆ หลินสวินก็ถามขึ้น
เนี่ยชิงหรงพยักหน้า “ถูกต้อง”
นางเข้าใจว่าหลินสวินสัมผัสได้ถึงความร้ายแรง ตั้งใจจะถอนตัวกลับ
ไหนเลยจะคิดว่าพริบตาต่อมาก็เห็นหลินสวินยิ้มเอ่ยว่า “เช่นนั้นเรื่องนี้ข้าจำเป็นต้องเข้าไปยุ่งสักหน่อยแล้ว”
พวกหยวนวั่นฉงล้วนตะลึงอึ้งค้างอย่างมาก คำพูดของหลินสวินเรียบง่ายสบายๆ แต่พอพวกเขาได้ยิน นั่นไม่ใช่ฝีปากกล้าธรรมดาๆ
“อายุยังน้อย แต่ฝีปากกลับใหญ่โตขนาดนี้ ข้าอยากลองดูนักว่าเจ้าจะมีฝีมืออย่างที่พูดหรือไม่!”
นัยน์ตาหยวนวั่นฉงทอไอสังหารวาบ
ตูม!
บนตัวเขามีเจตกระบี่สีชาดเจิดจ้าสายหนึ่งพุ่งออกมา หินหนืดพลุ่งพล่าน เจตกระบี่เคลื่อนขวางอากาศ กลิ่นอายระดับบรรพจารย์น่าสะพรึงโหมกระหน่ำ ทำให้เวิ้งฟ้าแถบนี้คล้ายเพลิงโหม
“ฟัน!”
เขาตะโกนสนั่นดุจฟ้าคำราม
ก็เห็นเจตกระบี่สีชาดนั้นฟันลงมา เปลวเพลิงลุกโชนเผาไหม้ห้วงอากาศ
“สามลมหายใจผ่านไปแล้ว…”
ในเสียงเฉยเมยเย็นชา หลินสวินโบกแขนเสื้อคราหนึ่ง เจตกระบี่แดงเพลิงที่เรียกได้ว่าน่าสะพรึงนั่นถูกลมซัดแหลกกระจุยดุจปุยเมฆขาดวิ่น
และพร้อมกันนั้นเงาร่างหลินสวินหายลับไปในอากาศ
“แย่แล้ว!”
หยวนวั่นฉงหน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ เร่งกระตุ้นมรรควิถีในตัวทันที
วู้ม!
ระฆังทองแดงสีทองอร่ามใบหนึ่งปรากฏ ปกป้องเงาร่างของเขาไว้ภายในนั้น บนระฆังทองแดงผุดลวดลายมรรคลึกลับนับหมื่นออกมา เปล่งแสงสว่างเจิดจ้า
ระฆังเทพควบคุมมรรค!
นี่คือสมบัติจักรพรรดิบริสุทธิ์ของหยวนวั่นฉง ฟูมฟักภายในกายนานหลายพันปี ทันทีที่เรียกออกมาก็เหมือนปราการสวรรค์ตั้งขวางอยู่เบื้องหน้า ปกป้องอย่างไร้ช่องโหว่
เงาร่างหลินสวินปรากฏเบื้องหน้าหยวนวั่นฉงอย่างน่าประหลาด ก่อนยื่นมือใหญ่เรียวยาวออกมาตบเบาๆ คราหนึ่ง
เคร้ง!!
เสียงกระแทกสนั่นอึงอลดังก้อง ก็เห็นระฆังทองแดงสีทองอร่ามนั่นถูกตบยุบเป็นรอยฝ่ามืออย่างจัง รอยร้าวชวนสยองติดตาปรากฏขึ้นทั่วตัวระฆังทองแดง
จากนั้นที่ตามมาติดๆ…
เสียงตูมดังคราหนึ่ง สมบัติจักรพรรดิบริสุทธิ์ที่ถูกหยวนวั่นฉงมองเป็นปราการสวรรค์ชิ้นนี้ถึงกับแตกระเบิดตรงๆ กลายเป็นเศษชิ้นส่วนนับไม่ถ้วนระเบิดกระเด็นออกมา
ภายใต้แรงโจมตี ร่างของหยวนวั่นฉงราวถูกหัตถ์เทพเบื้องบนตบเข้าอย่างจัง พลังป้องกันที่ปิดครอบทั่วร่างระเบิดแหลกเป็นชั้นๆ ถึงตอนท้ายผิวหนังของเขายังแตกระเบิด เลือดสดลอยกระเซ็น เศษเนื้อปลิวคว้าง
พลังจิตของเขาเพิ่งหนีออกมาก็ถูกลมฝ่ามือน่าสะพรึงนั่นท่วมมิด ดุจเทียนที่ถูกพัดมอดกลางสายลม มลายหายไปเป็นเถ้าถ่าน
เพียงฝ่ามือเดียวเท่านั้น!
โจมตีสังหารบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งจากสำนักศึกษาเยือกแข็ง!
การโจมตีเรียบๆ นั่นกลับสร้างฉากล้มตายนองเลือดน่าสยดสยอง ทำให้กลางฟ้าดินบังเกิดความเงียบช่วงสั้นๆ ขึ้น
จากนั้นเสียงร้องแตกตื่นดังขึ้นรอบบริเวณ
บรรพจารย์จักรพรรดิที่ติดตามมากับหยวนวั่นฉงเหล่านั้นล้วนเหมือนถูกสายฟ้าฟาด แต่ละคนขวัญหนีดีฝ่อ หนังศีรษะชาวาบ เลือกเผ่นหนีทันที
การที่มีความสำเร็จเหมือนอย่างวันนี้ได้ บรรพจารย์จักรพรรดิเหล่านี้ผ่านอันตรายมาไม่รู้เท่าไหร่ มีหรือจะไม่รู้ว่าชายหนุ่มข้างกายเนี่ยชิงหรงคนนั้นต้องเป็นคนร้ายกาจตะลึงโลกที่กินคนไม่คายกระดูกอย่างแน่นอน!
เพียงแต่พวกเขาคิดหนีในตอนนี้ เห็นชัดว่าช้าไปหนึ่งก้าวแล้ว
“ไป!”
ก็เห็นหลินสวินรวบนิ้วดีดรัวๆ ท่ามกลางเสียงกระบี่ครวญดังชิ้งๆ ปราณกระบี่สว่างโรจน์แสบตาสายแล้วสายเล่าทะลักออกมา จากนั้นพุ่งตัดไปยังทิศทางต่างๆ ราวกับรุ้งเทพเป็นสายๆ
พรูด!
พรูด!
พรูด!
บรรพจารย์จักรพรรดิจากสำนักศึกษาเยือกแข็งเหล่านั้นถูกสังหารคนแล้วคนเล่า เลือดสดพุ่งกระฉูด ไม่มีการโจมตีใดไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ร่างกายและจิตวิญญาณแตกดับ
ปราณกระบี่ระดับนั้นน่าสะพรึงเกินไป วิชามรรคอะไร สมบัติอะไร ล้วนเหมือนของไม่มีอยู่จริง ต้านทานการสังหารของปราณกระบี่ระดับนั้นไม่ไหวสักนิด ทำเอาเนี่ยชิงหรงมองจนสูดหายใจเย็น อึ้งค้างอยู่ตรงนั้น
เวลาเพียงชั่วพริบตา
ใต้เวิ้งฟ้ากลิ่นเลือดแผ่คลุ้ง ปราณกระบี่ทำลายล้างหมุนวน ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิทั้งกลุ่มรวมถึงหยวนวั่นฉงล้วนไม่มีใครรอดสักคน!
ภาพหน้าสะพรึงนี้ทำให้ผิวขาวหิมะดุจมันแข็งตัวของเนี่ยชิงหรงยังขนลุกเกรียวทั่วสรรพางค์ สั่นระริกไปทั้งตัว
เมื่อหนึ่งปีก่อนนางก็ตระหนักแล้วว่าหลินสวินเป็นพวกอันตรายสุดขีด และนี่คือสาเหตุที่นางยำเกรงและนับถือหลินสวินถึงเพียงนี้
แต่เมื่อเห็นหลินสวินลงมือจริงๆ นางถึงเพิ่งค้นพบว่าตนยังประเมินอีกฝ่ายต่ำไปหลายโข ความน่าสะพรึงของพลังต่อสู้ที่ฝ่ายหลังมี อยู่เหนือระดับบรรพจารย์จักรพรรดิในแง่ความหมายทั่วไปนานแล้ว!
นี่มีเพียงความเป็นไปได้เดียวเท่านั้น…
อีกฝ่ายเป็นมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ!
สายตาที่นางมองหลินสวินไม่เหมือนเดิมในทันที มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ!
อย่าว่าแต่ในน่านฟ้าที่หนึ่ง ต่อให้ไปอยู่น่านฟ้าที่หกล้วนเรียกได้ว่าเป็นบุคคลหาตัวจับยากยิ่งยวด
ในกาลเวลาที่ผ่านมาขอเพียงปรากฏบุคคลเช่นนี้ขึ้น เป็นต้องถูกขุมอำนาจใหญ่เหล่านั้นในน่านฟ้าที่เจ็ดแย่งตัวไปทันที ถึงขั้นยังมีแนวโน้มสูงที่จะถูกยักษ์ใหญ่อมตะในน่านฟ้าที่แปดคัดตัวไป!
เนี่ยชิงหรงไม่เคยนึกเลยว่าในพื้นที่ห่างไกลอย่างหมู่บ้านเงาเมฆา จะถึงกับทำให้นางได้พบกับคนพลิกฟ้าที่ดุจดั่งตำนานเช่นนี้
นี่น่าเหลือเชื่อเกินไปแล้ว!
และเวลานี้หลินสวินก็เหมือนทำเรื่องเล็กที่ไม่สะดุดตาอย่างหนึ่ง หลังเดินกลับขึ้นยานสมบัติก็หยิบน้ำเต้าสุราขึ้นกระดกดื่ม ก่อนกล่าวว่า “สหายยุทธ์ ควรเร่งเดินทางต่อแล้วใช่หรือไม่”
เนี่ยชิงหรงจึงเหมือนเพิ่งตื่นจากความฝัน ริมฝีปากแดงชุ่มฉ่ำส่งเสียงในลำคอเบาๆ เนตรงามที่มึนงงน้อยๆ ทอประกายได้สติก่อนกล่าวเก้อเขิน “ทำขายหน้าสหายยุทธ์แล้ว พวกเราจะออกเดินทางเดี๋ยวนี้”
ว่าพลางนางยกมือขึ้นตบหน้าอกเบาๆ คล้ายบรรเทาความสะท้านสะเทือนภายในใจ ส่วนอวบอิ่มขาวนูนสูงนั่นล้วนกระเพื่อมไหวระลอกหนึ่ง ทำให้สายตาของหลินสวินได้รับแรงโจมตี สายตานิ่งค้างไปครู่หนึ่ง
ยังดีที่เนี่ยชิงหรงยังไม่ทันรู้ตัวว่าการกระทำนี้ของนางเย้ายวนคนเพียงใด จึงหมุนตัวเดินเข้าไปในห้องโดยสารอย่างรวดเร็ว
‘ผู้หญิงคนนี้เกรงว่ามีความงามโดยกำเนิด มีเสน่ห์โดยธรรมชาติ ผู้ฝึกปราณทั่วไปเห็นเข้าเกรงว่าต้องถูกยั่วยวนจนสภาวะจิตเสียการควบคุม’
สายตาหลินสวินเปลี่ยนเป็นกระจ่างใสอย่างรวดเร็ว
ตั้งแต่เขาฝึกปราณจนบัดนี้เคยพบเจอหญิงงามมาทุกรูปแบบ และไม่ขาดแคลนคนงามไร้ผู้ใดทัดเทียมบางส่วนที่สามารถเทียบกับเนี่ยชิงหรงได้ จึงไม่มีทางถูกความงามบดบังสติในบัดดล
ในช่วงเวลาถัดมาหลินสวินยืนนิ่งตรงหัวยานต่อ ดื่มเหล้าไปพลางเปิดอ่านศาสตร์ปกครองทั่วหล้าไปพลาง แสนผ่อนคลายสบายอารมณ์
และในห้องโดยสาร เนี่ยชิงหรงยังคงอยู่กับเสี่ยวซี เพียงแต่เห็นชัดว่าใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และขบกัดริมฝีปากแดงจิตใจเหม่อลอยเป็นบางครั้ง
ภาพนองเลือดต่างๆ เมื่อครู่นี้ผุดขึ้นมาในสมองนางเป็นพักๆ ทำให้จิตมรรคของนางพลอยไหวกระเพื่อมไปด้วย ไม่อาจสงบลงได้
‘มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิ… เขาเป็นใครกันแน่’
…
เวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า
นอกจากฝึกปราณแล้วหลินสวินก็คอยชี้แนะเสี่ยวซีฝึกปราณ แม้จะกำลังเร่งเดินทางแต่กลับไม่รู้สึกเบื่อหน่าย
“สหายยุทธ์ ขอบังอาจถามสักเรื่องได้หรือไม่ ในสามเผ่าจักรพรรดิอมตะใหญ่ที่หนุนหลังสำนักศึกษาสองลักษณ์ ตระกูลจู้มีบทบาทอย่างไร”
ในวันนี้จู่ๆ หลินสวินก็มาหาและสอบถามเนี่ยชิงหรง
แม้เนี่ยชิงหรงจะรู้สึกแปลกแต่ยังคงตอบคำถามอย่างตั้งใจ “อันที่จริงในสำนักศึกษาสองลักษณ์ก็แบ่งออกเป็นสามฝ่ายใหญ่ ฝ่ายหนึ่งมีเจ้าสำนักคนปัจจุบันเป็นหลัก ยืนอยู่ในฝั่งตระกูลจู้ ฝ่ายหนึ่งมีรองเจ้าสำนักเหลิ่งชิงเสวี่ยเป็นหลัก สังกัดตระกูลหง อีกฝ่ายหนึ่งมีข้าเป็นหลัก อยู่ในสังกัดตระกูลเฮ่อ”
“ระบบเช่นนี้อันที่จริงเพิ่งสืบทอดมาไม่ถึงพันปี หนึ่งพันปีก่อนเหนียนอวิ๋นจิ่งเจ้าสำนักคนก่อนของสำนักศึกษาสองลักษณ์ เดิมก็เป็นส่วนหนึ่งของตระกูลเฮ่อ”
“แต่ในการต่อสู้แต่ละฝ่าย เหนียนอวิ๋นจิ่งถูกเจ้าสำนักคนปัจจุบันเอาชนะ จึงถอนตัวไปเงียบๆ เช่นนี้ และกลายเป็นรองเจ้าสำนักที่มีชื่อแต่ไร้อำนาจคนหนึ่ง”
“สำหรับผลลัพธ์เช่นนี้ อันที่จริงข้ากับรองเจ้าสำนักเหลิ่งชิงเสวี่ยก็ไม่ยินยอมอย่างยิ่ง เพราะถึงแม้เจ้าสำนักคนปัจจุบันจะมีพลังต่อสู้แกร่งกร้าว แต่นิสัยกลับอำมหิตชั่วร้าย ตั้งแต่เขาขึ้นเป็นเจ้าสำนักจนบัดนี้ ชื่อเสียงและกองกำลังของสำนักศึกษาสองลักษณ์ก็ไม่ดีเหมือนแต่ก่อน”
“แต่ก็ช่วยไม่ได้ เจ้าสำนักคนปัจจุบันมีบุคคลชั้นสูงคนหนึ่งในตระกูลจู้หนุนหลังอยู่ แม้พวกข้าจะไม่พอใจแค่ไหนก็ได้แต่อดกลั้นไว้ก่อน”
กล่าวถึงตอนท้ายเนี่ยชิงหรงอดทอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้ หว่างคิ้วเผยแววหดหู่ขึ้นมา
คำพูดของนางเอ่ยอย่างเรียบง่ายสบายๆ ยิ่ง แต่หลินสวินกลับฟังออกว่าการแก่งแย่งภายในระหว่างสามฝ่ายของสำนักศึกษาสองลักษณ์ เกรงว่าจะรุนแรงยิ่งกว่าที่คิดไว้หลายโข!
“เช่นนั้นก็ดี…” หลินสวินลูบปลายคาง ทำท่าครุ่นคิด
……………………..