การปรากฏตัวของหลินสวิน ทำให้โหยวเชียนเหิงกับหย่งเฟยตู้ล้วนแปลกใจมาก เนื่องจากแปลกหน้าเกินไป นึกไม่ออกสักนิดว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นเทพศักดิ์สิทธิ์จากที่ไหน
จากความระแวดระวังตามสัญชาตญาณ พวกเขาจึงไม่ได้ลงมือในทันที
แต่เนี่ยชิงหรงเมื่อดีใจแล้วกลับนึกอะไรขึ้นได้ หน้าเปลี่ยนสียกใหญ่ รีบเอ่ยว่า “สหายยุทธ์รีบหนีเร็ว ที่นี่มีพลังระเบียบปกคลุมอยู่!”
“คิดหนีหรือ เกรงว่าเป็นไปไม่ได้แล้ว!” โหยวเชียนเหิงกล่าวเย็นชา “ข้ากลับคิดไม่ถึงว่าเข้าเนี่ยชิงหรงออกจากสำนักไปเที่ยวเดียว ถึงกับพาผู้ช่วยกลับมาด้วย น่าเสียดาย ตามความเห็นข้า เขาก็เป็นแค่เจ้าโง่ที่ไม่เจียมกำลังตัวเอง หาไม่มีหรือจะกล้าบุกเข้ามาที่นี่เวลานี้”
“นี่ไม่ต่างอะไรกับรนหาที่ตายชัดๆ!” หย่งเฟยตู้ยิ้มเอ่ยสรุป หลังผ่านความตกใจในตอนแรก เขาก็มั่นใจหายห่วงแล้ว
นี่เป็นสถานที่แบบไหน
พื้นที่ใจกลางของสำนักศึกษาสองลักษณ์ มีพลังระเบียบปกคลุม อย่าว่าแต่คนทั่วไป ต่อให้ระดับอมตะบุกรุกเข้ามาก็จะถูกกำราบจนหมดสภาพ!
กลับเห็นหลินสวินคล้ายไม่รู้สึกรู้สา และไม่ได้ล่าถอยหรือชะงักเท้า สนใจเพียงการสำรวจพลังระเบียบสีเขียวที่อัดแน่นในตำหนักใหญ่ปราดหนึ่ง ก่อนจะมองทางยังเนี่ยชิงหรงและเหลิ่งชิงเสวี่ยสองคน
“วางใจได้ ในเมื่อตัดสินใจช่วยแล้ว แค่พลังระเบียบเล็กน้อยไม่เหลือบ่ากว่าแรงข้าหรอก” รอยยิ้มหลินสวินดูอ่อนโยนนัก
คำพูดราบเรียบเฉยเมยนั่นทำให้ความร้อนรนกระวนกระวายในใจพวกเนี่ยชิงหรงสองคนบรรเทาลง
“พลังระเบียบเล็กน้อยหรือ”
โหยวเชียนเหิงเกือบคิดว่าตัวเองฟังผิดไป พลันหัวเราะลั่นออกมา “เนี่ยชิงหรง เจ้าไปหาตัวประหลาดแบบนี้มาจากไหน”
“เจ้าสำนัก กำจัดคนผู้นี้โดยเร็วจะดีกว่า” หย่งเฟยตู้อารมณ์เสียอย่างมาก ใกล้จะได้ปราบพยศพวกเนี่ยชิงหรงอยู่แล้ว กลับถูกคนเข้ามาสอด ทำให้เขาหงุดหงิดยิ่งยวด
“ก็ดี”
โหยวเชียนเหิงว่าพลาง กลางฝ่ามือผุดลัญจกรที่แสงเขียวไหลเวียน
ตูม!
จากนั้นพลังระเบียบสีเขียวนับไม่ถ้วนราวโซ่เทพเป็นเส้นๆ ทะลักออกมา สาดกระหน่ำไปทางหลินสวิน
หลินสวินไม่หลบไม่หลีก ยืนนิ่งอยู่กับที่ไม่ขยับ กล่าวสื่อจิตในใจ ‘อู๋ซวง อาหารครั้งนี้ให้เจ้าเพลิดเพลินเพียงผู้เดียว’
‘ขอบคุณนายท่านยิ่งนัก’
ในเสียงใสเจื้อยแจ้ว ละอองแสงไหลเวียน เตากระบี่ไร้ก้นบึ้งพลันกลายเป็นแผนภาพชิ้นหนึ่งลอยอยู่กลางฝ่ามือหลินสวิน
ในระเบียบนิพพานส่วนลึกของเตากระบี่ เด็กสาวชุดขาวที่เหมือนอายุสิบสี่สิบห้าคนหนึ่งตื่นจากการหลับใหล อ่อนวัยงามสง่าดุจคุณหนูในห้องหอ อ่อนหวานจับใจ แผ่กลิ่นอายใสซื่อไร้เดียงสา
เป็นวิญญาณระเบียบมรรคสวรรค์ ‘อู๋ซวง’ จากโลกต้นกำเนิดในยุคก่อนนั่นเอง!
ทั้งหมดนี้คนนอกย่อมมองไม่เห็น
เกือบจะในเวลาเดียวกัน หลินสวินยื่นมือไปคว้าคราหนึ่ง
ตูม!
พลังระเบียบสีเขียวท่วมฟ้านั่นเหมือนหมื่นกระแสคืนแหล่ง ถูกกักขังเอาไว้แน่นหนา ภาพแปลกประหลาดพิสดารนั่นทำให้คนทุกคนล้วนอึ้งงัน
นี่เป็นไปได้อย่างไร!?
จากนั้นแผนภาพเตากระบี่กลางฝ่ามือหลินสวินไหลวน ดุจดั่งถ้ำมืดสนิทขนาดใหญ่ปากหนึ่ง แผ่กลิ่นอายกลืนกินน่าสะพรึงออกมา พลังระเบียบสีเขียวเป็นสายๆ กลายเป็นแสงเคลื่อนพุ่งเข้าไปในนั้น เพียงพริบตาระเบียบระดับปฐพีขั้นสามที่ปิดครอบตำหนักสองลักษณ์ก็ถูกกลืนกินหมดสิ้น
“นี่…”
เนี่ยชิงหรง เหลิ่งชิงเสวี่ยล้วนอึ้งค้างอยู่ตรงนั้น ในใจสั่นสะท้าน นั่นเป็นถึงพลังระเบียบ ก่อนหน้านี้กดข่มจนพวกนางไร้เรี่ยวแรงปัดป้อง
แต่ตอนนี้กลับถูกหลินสวินยื่นมือไปคว้าแล้วกลืนหายไปจนเกลี้ยง!
“เป็นเช่นนี้ได้อย่างไร?!”
โหยวเชียนเหิงร้องเสียงหลง สีหน้าเขียวคล้ำ ฝึกปราณจนถึงตอนนี้เขาเพิ่งได้เห็นเรื่องน่าเหลือเชื่อเช่นนี้เป็นครั้งแรก ทำให้เขาปั่นป่วนในทันที
ตำหนักใหญ่เงียบกริบ ทุกคนสีหน้าอัศจรรย์ใจหาใดเปรียบ
‘นายท่าน ยังมีอีกไหม’ ภายในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง อู๋ซวงเอ่ยถามกล้าๆ กลัวๆ นางดูเหมือนยังไม่จุใจ
มุมปากหลินสวินกระตุกคราหนึ่ง สื่อจิตในใจ ‘หากต่อไปเจ้าแสดงฝีมือได้ดี ข้าจะช่วยเจ้ารวบรวมพลังระเบียบมากกว่านี้’
ช่วงก่อนหน้านี้ไม่นานหลินสวินสัมผัสได้ถึงสัญญาณฟื้นตื่นของอู๋ซวงแล้ว ทั้งยังเหมือนถูกระเบียบนิพพานฝึกให้เชื่องโดยสิ้นเชิง เมื่อจิตรับรู้ของเขาหยั่งสัมผัส อู๋ซวงก็เผยความสวามิภักดิ์โดยสมบูรณ์
การเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อน
น่าเสียดาย แม้ว่าอู๋ซวงจะตื่นขึ้นมาแล้วแต่กลับอ่อนแอสุดขีด อีกทั้งนางเป็นวิญญาณระเบียบ ไม่มีสติปัญญาแท้จริง การกระทำและคำพูดทั้งหมดล้วนอาศัยระเบียบในตัวสำแดงออกมา
จากข้อมูลที่หลินสวินสัมผัสได้ แม้ว่าอู๋ซวงจะฟื้นกลับมาได้ แต่หากตนไม่ได้เหยียบย่างมรรคาอมตะ ก็ไม่มีทางหยิบยืมพลังของอู๋ซวงมาต่อสู้ได้
แต่ยังดีที่เวลาต้านทานพลังระเบียบ ไม่ว่าอู๋ซวงหรือระเบียบนิพพานล้วนสามารถปลดปล่อยอานุภาพเหนือคาดออกมาได้
ก็เป็นเวลานี้เอง
“เจ้าสำนัก บนตัวเขาต้องมีของต้องห้ามที่ต้านทานพลังระเบียบได้แน่!” ไม่ไกลนัก หลังผ่านสะท้านสะเทือนในตอนแรก หย่งเฟยตู้ก็ตะโกนเตือนเสียงดัง
“พูดพล่ามมากเกินไปแล้ว” หลินสวินเก็บจิตรับรู้พลางมองหย่งเฟยตู้ ก่อนยื่นมือไปตบคราหนึ่ง
ตูม!
กลางอากาศควบรวมประทับฝ่ามือใหญ่สายหนึ่ง เรียบง่ายหนาหนัก ตบไปทางหย่งเฟยตู้
หย่งเฟยตู้ก็เป็นบรรพจารย์จักรพรรดิเช่นกัน ย่อมไม่มีทางนั่งเฉยรอความตาย รีบกระตุ้นมรรควิถีในตัวทันที ปลดปล่อยวิชาลับออกมาปะทะตรงๆ
แต่น่าเสียดาย เขาไม่เข้าใจสักนิดว่าชายหนุ่มตรงหน้าคนนี้น่าสะพรึงปานใด
ปึง!
ในเสียงอึงอลอู้อี้ ทั้งตัวเขาลอยคว้างออกไป ร่างล้วนถูกตบจนแตก เลือดสดพุ่งกระฉูด ตอนที่ร่วงกระแทกพื้นได้รับบาดเจ็บสาหัสปางตายนานแล้ว ตะกายตัวขึ้นมาไม่ได้อีก
“ยกให้เจ้ามาจัดการ”
หลินสวินมองเนี่ยชิงหรงปราดหนึ่ง จากนั้นหันมองโหยวเชียนเหิงที่อยู่ไกลออกไปแล้วกล่าวว่า “เจ้าจะยอมแพ้แต่โดยดีหรือจะให้ข้าลงมือ”
“เจ้าเป็นใครกันแน่”
โหยวเชียนเหิงตกใจแกมโมโห ลัญจกรสีเขียวในมือเขาเดิมเป็นสมบัติลับชิ้นหนึ่งที่ควบคุมพลังระเบียบในตำหนักใหญ่ แต่ตอนนี้แตกเป็นเสี่ยงๆ แล้ว นี่ก็หมายความว่านับแต่นี้เป็นต้นไปเขาสูญเสียที่พึ่งยิ่งใหญ่ที่สุดไปแล้ว
“ข้ากำลังถามเจ้าอยู่” หลินสวินยกยิ้ม ยื่นมืออกไปคว้าทันควัน
สวบ!
โหยวเชียนเหิงทะยานตัวทันทีหมายจะหลบหนี แต่เพิ่งไปได้ครึ่งทางก็ถูกคว้าตัวผ่านอากาศเหมือนแมลงวัน ขยับเขยื้อนไม่ได้
เขาสีหน้ากราดเกรี้ยวกล่าว “เจ้าไม่กลัวตระกูลจู้แก้แค้นหรือ”
แววตาหลินสวินทอแววเวทนา “บอกเจ้าให้ก็ได้ ก็เพราะรู้ว่าเจ้าเป็นขาสุนัขของตระกูลจู้ ข้าถึงได้มา”
“เจ้า…”
โหยวเชียนเหิงแววตาตื่นตระหนก เพิ่งจะพูดอะไรก็รู้สึกเพียงเบื้องหน้าดำมืด ถูกตีสลบไป ทั้งตัวอ่อนยวบลงพื้นดังตุบ ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรแล้ว
เมื่อเห็นภาพเหล่านี้ เหลิ่งชิงเสวี่ยก็เข้าใจในที่สุดว่าเหตุใดก่อนหน้านี้เนี่ยชิงหรงถึงกำชับนักหนาไม่ให้นางไปหยั่งเชิงอีกฝ่าย นี่… เป็นคนแข็งแกร่งจนไม่อาจจินตนาการได้จริงๆ!
“ยังต้องให้ข้าช่วยเหลืออีกหรือไม่”
หลินสวินถาม
เนี่ยชิงหรงที่หนีรอดจากความตายสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เมื่อได้ยินจึงรีบกล่าวเป็นพัลวัน “ไม่รบกวนสหายยุทธ์อีกแล้ว เรื่องต่อจากนี้ยกให้ข้ากับชิงเสวี่ยจัดการก็พอ”
หลินสวินพยักหน้าแล้วหมุนตัวออกไป
จนกระทั่งเงาร่างของเขาลับตา เหลิ่งชิงเสวี่ยก็อดกล่าวขึ้นมาไม่ได้ “พี่สาว สหายยุทธ์คนนี้ของท่านเป็นเทพศักดิ์สิทธิ์จากแดนใดกันแน่ เขา… คงไม่ใช่มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิหรอกกระมัง”
เห็นชัดว่าแม้จิตใจของเหลิ่งชิงเสวี่ยจะบริสุทธิ์เรียบง่าย แต่ไม่ได้ซื่อบื้อ แค่ปราดเดียวก็มองออกว่าบรรพจารย์จักรพรรดิทั่วไปไม่มีทางมีพลังต่อสู้เหมือนอย่างหลินสวินสักนิด
“ชิงเสวี่ย คนผู้นี้มีที่มาไม่ธรรมดา เพียงแต่เรื่องนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องถามอีก”
เนี่ยชิงหรงถอนใจเบาๆ คราหนึ่ง จากนั้นกล่าวยิ้มๆ “รอภายหน้าเมื่อถึงเวลาเหมาะสม ข้าจะเล่าเรื่องทั้งหมดในนั้นให้เจ้าฟังเอง”
เหลิ่งชิงเสวี่ยร้องอืมคราหนึ่ง
ปึง!
เสียงหนับทึบดังขึ้นคราหนึ่ง หน้าผากของหย่งเฟยตู้ถูกฝ่ามือของเนี่ยชิงหรงตบแหลก นางเหมือนยังไม่หายแค้น เพลิงเทพสีทองเป็นสายๆ พุ่งออกจากปลายนิ้ว เผาร่างหย่งเฟยตู้จนหมดสิ้น เถ้าธุลีหายลับไป
“เจ้าคนสมควรตายนี่ยังคิดจะให้ข้ายอมจำนน ไม่หัดดูศีลธรรมของตัวเองบ้าง”
แววตาเนี่ยชิงหรงเต็มไปด้วยความเคียดแค้นและดูหมิ่น ขณะพูดนางก็เดินไปทางโหยวเชียนเหิงอีก
“พี่สาว หากสิ่งที่โหยวเชียนเหิงพูดเป็นความจริง เช่นนั้นตระกูลจู้ในตอนนี้ก็ยิ่งใหญ่กว่าที่ในอดีตจะเทียบได้ หากท่านฆ่าเขา เกรงว่าตระกูลเฮ่อคงไม่สะดวกออกหน้าแทนท่าน” เหลิ่งชิงเสวี่ยอดเอ่ยเตือนไม่ได้
“น้องสาวแสนซื่อของข้า ในเมื่อลงมือไปแล้วย่อมไม่มีช่องว่างให้ถอยกลับ ส่วนตระกูลจู้… ย่อมมีคนมาจัดการให้อยู่แล้ว”
กล่าวพลางเนี่ยชิงหรงโบกมือคราหนึ่ง
พรึ่บ!
โหยวเชียนเหิงที่สลบไม่ได้ถูกเปลวเพลิงไร้จุดจบปิดครอบ เพียงพริบตาก็กลายเป็นเถ้าธุลีปลิวกระจายเกลื่อนพื้น
เหลิ่งชิงเสวี่ยมองภาพนี้อึ้งๆ แล้วเอ่ยว่า “พี่สาว หากตระกูลเฮ่อก็ทอดทิ้งท่านเพราะเรื่องนี้ด้วยจะทำอย่างไร ท่านก็รู้ดี คนอย่างพวกเราดูเหมือนบารมีไร้จำกัด แต่ในสายตาของเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้น ไม่พ้นเป็นเพียงหมากที่สามารถโยนทิ้งได้ตลอดเวลาก็เท่านั้น”
เนี่ยชิงหรงแววตาซับซ้อน เอ่ยว่า “น้องสาว เจ้าแค่ทำใจให้สบายก็พอแล้ว สหายยุทธ์คนนั้นเตรียมตัวก่อนเกิดเรื่องนานแล้ว คิดหาวิธีแก้ไขทั้งหมดนี้ไว้เรียบร้อยแล้ว”
ก่อนหน้านี้หลินสวินเคยพูดว่าให้ตนโยนความรับผิดชอบทั้งหมดไปที่เขา ต่อให้ตระกูลจู้ส่งคนมุ่งหน้ามา หลินสวินก็จะเป็นคนจัดการเอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ตระกูลเฮ่อก็ไม่มีทางว่าอะไร กลับกัน เมื่อนางปกครองสำนักศึกษาสองลักษณ์ ยิ่งสร้างคุณูปการมากเท่าไหร่ก็ยิ่งได้รับความสำคัญจากตระกูลเฮ่อง่ายยิ่งขึ้น
เพียงแต่ภายในใจเนี่ยชิงหรงมักรู้สึกติดหนี้บุญคุณอยู่เสมอ ไม่รู้ว่าควรตอบแทนอย่างไร นางกระทั่งคิดไปถึงขั้นที่ใช้ร่างกายตอบแทน ยกเขาเป็นนาย เกรงว่าอีกฝ่ายก็อาจไม่ตกลงด้วยซ้ำ
ถึงอย่างไรคนที่เป็นเหมือนตำนานอย่างเขา จะมัวยึดติดหมกมุ่นกับความงามอะไรได้อย่างไร
…
ในวันนี้เนี่ยชิงหรงประกาศต่อหน้าสาธารณะว่าอดีตเจ้าสำนักโหยวเชียนเหิงและรองเจ้าสำนักหย่งเฟยตูถูกศัตรูสังหาร และตอนนี้ล้วนกายสิ้นมรรคสลายไปตามๆ กันแล้ว
ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป นางจะเข้ารับตำแหน่งเจ้าสำนัก!
ชั่วขณะเดียวสำนักศึกษาสองลักษณ์พลันโกลาหล ศิษย์นับไม่ถ้วนถูกทำให้แตกตื่น สามสิบหกผู้นำยอดเขาล้วนนั่งไม่ติด ต่างมุ่งหน้าไปสอบถามที่ตำหนักสองลักษณ์
ในนั้นไม่ขาดคนใหญ่คนโตที่ภักดีต่อโหยวเชียนเหิง หลังจากยืนยันว่าข่าวเหล่านี้เป็นความจริง ล้วนตระหนักได้ว่าสถานการณ์จะไม่พลิกกลับมาแล้ว
ต่อให้เป็นคนที่ภักดีต่อโหยวเชียนเหิงแค่ไหนก็ไม่มีใครคัดค้าน
เบื้องหลังเนี่ยชิงหรงมีตระกูลเฮ่อสนับสนุนอยู่ ส่วนเบื้องหลังเหลิ่งชิงเสวี่ยมีตระกูลหงสนับสนุน ตอนนี้โหยวเชียนเหิงไม่อยู่แล้ว แม้พวกเขาคิดต่อต้านก็ไม่มีความกล้าพอ!
ความโกลาหลชั่วขณะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้
ถึงอย่างไรเมื่อไม่นานมานี้รองเจ้าสำนักเหนียนอวิ๋นจิงก็เพิ่งถูกกำราบ ตอนนี้แม้แต่เจ้าสำนักโหยวเชียนเหิงและรองเจ้าสำนักหย่งเฟยตูก็ร่วงหล่นไปหมดแล้ว
การสูญเสียบุคคลสำคัญที่เหมือนเสาหลักสามคนในคราวเดียว สำหรับสำนักศึกษาสองลักษณ์แล้วไม่ต่างอะไรกับการโจมตีที่หนักหน่วงหาใดเปรียบอย่างหนึ่ง
ถึงขั้นที่ตำแหน่งของสำนักศึกษาสองลักษณ์ในน่านฟ้าที่หนึ่งยังได้รับแรงสะเทือนและผลกระทบครั้งใหญ่!
…………………….