เวิ้งฟ้ากว้างใหญ่ เมฆมงคลมากมาย
จินจิ่วอิ๋นชี้ออกไปไกลพลางกล่าว “ห่างออกไปก็คือเทือกเขาเสินถู เขามงคลอันดับหนึ่งของแดนทุ่งบูรพา สำนักศึกษาสองลักษณ์ครองอาณาเขตอยู่ในนั้น”
เขาคือหนึ่งในรองเจ้าสำนักแห่งสำนักศึกษาเยือกแข็ง รูปร่างกำยำ ผมเผ้าหนวดเคราราวกับทวน ห้าวหาญหยิ่งทะนง
การเคลื่อนไหวครั้งนี้นำขบวนโดยเขา
“จนถึงตอนนี้ข้าก็ยังคิดไม่ออก ด้วยพลังต่อสู้ของเนี่ยชิงหรง จะฆ่าโหยวเชียนเหิงที่ครอบครองพลังระเบียบระดับปฐพีขั้นสามได้อย่างไร ผู้หญิงคนนี้เปลี่ยนเป็นน่ากลัวเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
หวงเจิ้นรองเจ้าสำนักแห่งสำนักศึกษาเยือกแข็งอีกคนที่อยู่ด้านข้างขมวดคิ้วเอ่ยปาก
เขาสวมชุดขนนก คิ้วกระบี่เนตรดารา เท้าเหยียบบนภาพสุริยันจันทราภูผาธารา อาภรณ์สะบัดโบก สง่างามอาจอง
“ตระกูลจู้ชิงพลังระเบียบระดับสวรรค์อันใหม่ไปได้แล้ว ใช้เวลาไม่นานก็จะย้ายถิ่นฐานมุ่งหน้าไปตั้งรกรากบนน่านฟ้าที่เจ็ด ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ เนี่ยชิงหรงยังกล้าสังหารโหยวเชียนเหิงที่มีตระกูลจู้หนุนหลัง ช่างกล้าเกินไปจริงๆ”
หญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่ข้างหวงเจิ้น สวมชุดดำ ผมขาวโพลนแผ่สยาย มือถือตะกร้าดอกไม้ใบหนึ่ง ท่าทางอรชรงามสง่าก็เอ่ยปากเจือความทอดถอนใจ
นางคือซืออวิ๋นเฟย เป็นหนึ่งในรองเจ้าสำนักแห่งสำนักศึกษาเยือกแข็งเช่นกัน
“จากข่าวที่ข้าได้มา คนที่ฆ่าโหยวเชียนเหิงไม่ใช่เนี่ยชิงหรง แต่เป็นบุคคลปริศนาที่มาลึกลับคนหนึ่ง เนี่ยชิงหรงแค่ได้ประโยชน์เท่านั้น ไม่อย่างนั้นตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักศึกษาสองลักษณ์มีหรือจะตกสู่มือนาง”
จินจิ่วอิ๋นที่เป็นผู้นำเอ่ยเรียบๆ
หวงเจิ้นกับซืออวิ๋นเฟยเผยสีหน้ากระจ่าง อย่างนี้สิค่อยสมเหตุสมผล
เมื่อโหยวเชียนเหิง เหนียนอวิ๋นจิ่ง หย่งเฟยตู้ตาย ผู้มีสิทธิ์ครองตำแหน่งเจ้าสำนักของสำนักศึกษาสองลักษณ์ ก็มีแค่เนี่ยชิงหรงกับเหลิ่งชิงเสวี่ย
เหลิ่งชิงเสวี่ยคนนี้ไม่สนใจเรื่องทางโลก ไม่คิดแก่งแย่งกับผู้ใด เนี่ยชิงหรงฉวยโอกาสครองตำแหน่งเจ้าสำนักได้ก็เป็นเรื่องสมเหตุผล
“พี่จินรู้ไหมว่าบุคคลปริศนานั่นเป็นใคร” หวงเจิ้นเอ่ยถาม
จินจิ่วอิ๋นใคร่ครวญครู่หนึ่งแล้วกล่าว “นี่ก็ไม่แน่ใจนัก พวกเจ้าก็รู้ว่าในสำนักศึกษาสองลักษณ์มีตัวหมากที่สำนักศึกษาเยือกแข็งของพวกเราลอบวางไว้อยู่ แต่จากข่าวที่เขาส่งมาก็ยังไม่รู้ว่าบุคคลปริศนานี้เป็นใครเช่นกัน”
“ส่วนเนี่ยชิงหรงที่เพิ่งครองตำแหน่งเจ้าสำนัก ก็ผลักสาเหตุการตายทั้งหมดของโหยวเชียนเหิงกับหย่งเฟยตู้ไปให้บุคคลปริศนานี่ นี่ก็แปลกประหลาดนัก หากพูดว่าบุคคลปริศนานี่เป็นผู้ที่เนี่ยชิงหรงเชิญมา เนี่ยชิงหรงมีหรือจะกล้าสาดโคลนพวกนี้ใส่บุคคลปริศนานั่น”
หวงเจิ้นกับซืออวิ๋นเฟยก็อดขมวดคิ้วไม่ได้ เรื่องนี้แปลกประหลาดมากจริงๆ
“ไม่ว่าอย่างไร การเคลื่อนไหวครั้งนี้ของพวกเราก็คือการหาความจริงของสำนักศึกษาสองลักษณ์ นอกจากนี้แม้ว่าโหยวเชียนเหิงจะตาย แต่ตอนเขามีชีวิตอยู่เคยส่งข่าวว่าบนตัวเนี่ยชิงหรงนั่นมีแผนภาพเกี่ยวกับพลังระเบียบอยู่ชิ้นหนึ่ง ขอเพียงพวกเรากำจัดเนี่ยชิงหรงได้ แผนภาพนี้ก็จะเป็นของพวกเราสำนักศึกษาเยือกแข็ง”
นัยน์ตาจินจิ่วอิ๋นฉายแววเยียบเย็น กล่าวว่า “แต่พวกเจ้าก็รู้ว่าก่อนหน้านี้ไม่นาน การเคลื่อนไหวของรองเจ้าสำนักหยวนวั่นฉงกลับล้มเหลว ทั้งเป็นไปได้สูงว่าจะสิ้นชีพแล้ว เรื่องนี้ยั่วโทสะเจ้าสำนักของพวกเรา คิดว่าโหยวเชียนเหิงใช้กลลวง จงใจฉวยโอกาสนี้วางกับดักใส่พวกเราสำนักศึกษาเยือกแข็ง”
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ หว่างคิ้วของหวงเจิ้นกับซืออวิ๋นเฟยก็ฉายแววเคร่งขรึมเย็นชา
การตายของพวกหยวนวั่นฉงน่าสงสัยเป็นอย่างยิ่ง ทำให้พวกเขาแคลงใจว่าทุกอย่างนี้เป็นแผนการของสำนักศึกษาสองลักษณ์หรือไม่
เข่นฆ่าด้วยการใช้เรื่องแผนภาพเป็นเหยื่อล่อ!
“ได้ยินว่าเมื่อโหยวเชียนเหิงร่วงหล่น พลังระเบียบระดับปฐพีขั้นสามของสำนักศึกษาสองลักษณ์นั้นก็สาบสูญ ทั้งไม่ได้ถูกเนี่ยชิงหรงครอบครอง ครั้งนี้หากสบโอกาสก็จับตัวเนี่ยชิงหรงนั่นด้วย!”
ไอสังหารวาบผ่านใบหน้าจินจิ่วอิ๋น “ถึงตอนนั้นสำนักศึกษาสองลักษณ์ย่อมเหมือนฝูงมังกรไร้หัว ต้องเกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่แน่ สำนักศึกษาเยือกแข็งของพวกเราก็จะฉวยโอกาสแทรกแซงได้!”
หวงเจิ้นกับซืออวิ๋นเฟยลอบพยักหน้า
เดิมทีการเคลื่อนไหวครั้งนี้ของพวกเขาก็มาด้วยเหตุนี้
สิ่งเดียวที่คาดเดาไม่ถูกก็คือบุคคลปริศนาที่ฆ่าโหยวเชียนเหิงคนนั้น
“ใกล้ถึงแล้ว ทุกท่าน ได้เวลาสำแดงพลังของพวกเราสำนักศึกษาเยือกแข็งหน่อยแล้ว!”
เมื่อเห็นเทือกเขาเสินถูที่กว้างใหญ่ไกลๆ นัยน์ตาจินจิ่วอิ๋นเปล่งประกาย ในใจฮึกเหิมขึ้นมา
ไม่ว่าอย่างไรสำนักศึกษาสองลักษณ์ในตอนนี้ ด้วยการร่วงหล่นของคนใหญ่คนโตอย่างโหยวเชียนเหิง ภายในย่อมบอบช้ำเสียหายหนักอยู่ก่อนแล้ว
และนี่ก็เป็นโอกาสที่พวกเขาจะแทรกแซง!
“หึๆ ข้าก็อยากดูนักว่าเนี่ยชิงหรงนั่นมีความสามารถพอจะสู้กับพวกเราหรือไม่” หวงเจิ้นยิ้มกล่าว สง่างามโดดเด่น
“หืม?”
ซืออวิ๋นเฟยเพิ่งหมายจะพูดอะไร แต่นัยน์ตาพลันหดรัด มองไปยังจุดที่ห่างไกล
หน้าเทือกเขาเสินถู ควันอาหารกลุ่มหนึ่งลอยขึ้นมาจากริมลำธารตรงเชิงเขา ในความรางเลือนยังมีกลิ่นหอมของเนื้อย่างลอยมาจางๆ
เมื่อมองอย่างละเอียดก็เห็นว่าริมลำธารมีกองไฟลุกโชน ปลาใหญ่อ้วนพีเสียบง่ามเหล็กถูกย่างจนเหลืองเกรียมมันเยิ้ม
คนที่กำลังย่างปลาคือชายหนุ่มคนหนึ่ง เขานั่งอยู่บนพื้น ข้างกายมีเครื่องปรุงรสนานัปการวางไว้ คอยโรยบนปลาย่างนั้นอยู่ตลอด จริงจังจดจ่อ การเคลื่อนไหวช่ำชอง
กลิ่นหอมและควันอาหารของเนื้อย่างนั่นลอยมาจากทางนั้น
“นี่คงไม่ใช่ศิษย์จอมตะกละในสำนักศึกษาสองลักษณ์กระมัง ถึงกับวิ่งมาย่างปลาหน้าประตูทางเข้าสำนักตน นี่มันใช้ได้ที่ไหน เท่านี้ก็รู้แล้วว่ากฎเกณฑ์ของสำนักศึกษาสองลักษณ์ตอนนี้เหลวแหลกเพียงใด”
จินจิ่วอิ๋นอดยิ้มไม่ได้ สังเกตเห็นภาพนี้เช่นกัน
“นี่ก็คือสัญญาณแห่งความพินาศของสำนักศึกษาสองลักษณ์”
หวงเจิ้นกล่าววิจารณ์ “หากเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นในสำนักศึกษาเยือกแข็งของพวกเรา ศิษย์คนนี้รวมถึงอาจารย์ของเขาล้วนต้องถูกลงโทษขั้นรุนแรง อย่างเบาคือปิดด่านพิจารณาความผิด อย่างหนักคือไล่ออกจากสำนัก”
“แต่ฝีมือย่างเนื้อของเจ้าหนุ่มนี่ไม่ธรรมดาจริงๆ ทำเอาข้าน้ำลายสอ”
เมื่อได้กลิ่นหอมยั่วยวนที่ลอยมาในอากาศ ซืออวิ๋นเฟยอดยิ้มพลางหยอกเย้าไม่ได้
“น่าเสียดาย เจ้าไม่มีลาภปากเช่นนี้”
พร้อมกันนั้นเสียงเฉยชาหนึ่งดังขึ้น เงาร่างริมลำธารนำปลาย่างลง ใช้นิ้วแกะเนื้อปลาที่กรอบนอกนุ่มในทั้งตัวออก ยัดเข้าปากแล้วบรรจงเคี้ยว บนสีหน้าฉายแววพึงพอใจ
คนผู้นี้แน่นอนว่าเป็นหลินสวิน
ปลาย่างในมือเขาถือกำเนิดในแหล่งน้ำไอวิญญาณ อวบอ้วนเป็นอย่างยิ่ง เนื้อบริสุทธิ์ผุดผ่อง หลังจากถูกเขาใช้เครื่องปรุงนานาชนิดที่สะสมไว้มาโรยยามย่าง รสชาตินั้นเลิศล้ำเกินบรรยายจริงๆ
‘คนผู้นี้มีปัญหา!’
เมื่อได้ยินคำพูดของหลินสวิน นัยน์ตาของพวกซืออวิ๋นเฟย หวงเจิ้น จินจิ่วอิ๋นล้วนหดรัดทันใด ตระหนักได้ว่ามีบางอย่างไม่เข้าที
ศิษย์สำนักศึกษาสองลักษณ์ทั่วไปย่อมไม่กล้าพูดกับพวกเขาเช่นนี้!
‘พวกเจ้าอย่าเพิ่งทำอะไรบุ่มบ่าม ให้ข้าลองหยั่งเชิงเขาเอง’
จินจิ่วอิ๋นสื่อจิต จากนั้นสายตาดุจคบเพลิงก็จับจ้องหลินสวินพลางกล่าว “ข้าจินจิ่วอิ๋นแห่งสำนักศึกษาเยือกแข็ง ขอถามสหายน้อยว่ามีชื่อเสียงเรียงนามว่ากระไร”
“คนใกล้ตายถามเรื่องพวกนี้ไปทำไม อย่ารีบร้อน รอข้ากินปลาตัวนี้เสร็จค่อยส่งพวกเจ้าไปลงนรก”
หลินสวินเคี้ยวปลาคำโตพลางร่ำสุรา ดูสบายใจไม่สะทกสะท้าน
แต่คำพูดของเขากลับเสียดหู ทำให้สีหน้าของพวกจินจิ่วอิ๋นขรึมลงทันที ในแววตาเต็มไปด้วยความเยียบเย็น เจ้าหมอนี่มีปัญหาดังคาด!
“พูดเช่นนี้ เจ้ามารอพวกเราอยู่ที่นี่โดยเฉพาะหรือ”
น้ำเสียงจินจิ่วอิ๋นลุ่มลึก แฝงอานุภาพกดดันสะกดผู้คน จิตรับรู้ยิ่งใหญ่ม้วนพัดไปทางหลินสวินเหมือนพายุโหม
ขณะเดียวกันหวงเจิ้นกับซืออวิ๋นเฟยก็เตรียมพร้อมต่อสู้
“ก็นับว่าใช่กระมัง”
หลินสวินกินเนื้อปลาจนหมดอย่างรวดเร็ว ก้างปลาขาวดุจหิมะที่เหลือถูกเขาโยนทิ้งลวกๆ จากนั้นก็ยกน้ำเต้าสุราดื่มด่ำครู่หนึ่ง
เมื่อจิตรับรู้ของจินจิ่วอิ๋นม้วนพัดมา ไม่รอให้เข้าใกล้ก็ถูกพลังไร้รูปบดขยี้และสลายไป
นี่ทำให้จินจิ่วอิ๋นใจสะท้าน รู้สึกผิดแปลกยิ่งกว่าเดิม เขาสื่อจิตทันที ‘ลงมือ ฆ่าเจ้าหมอนี่ก่อน!’
ตูม!
ห้วงอากาศสั่นไหวรุนแรง สุริยันจันทราหม่นแสง
จินจิ่วอิ๋นเด็ดขาดเป็นอย่างยิ่ง กระบี่ยักษ์ที่สายฟ้าพลุ่งพล่านเล่มหนึ่งฟันออกมา แสงมรรคระดับบรรพจารย์อันไร้สิ้นสุดฟันไปทางหลินสวิน
หวงเจิ้นกับซืออวิ๋นเฟยที่เตรียมพร้อมต่อสู้อยู่ก่อนแล้วก็ลงมือในเวลาเดียวกัน
วู้ม!
ภาพสุริยันจันทราภูผาธาราพุ่งออกมา แผ่ขยายไปกลางอากาศอย่างต่อเนื่อง เพียงพริบตาก็กลายเป็นโลกกว้างใหญ่ที่บดบังฟ้าคลุมตะวันแล้วแผ่คลุมลงมา
ฮูม…
ซืออวิ๋นเฟยเหวี่ยงตะกร้าดอกไม้ในมือ รุ้งเทพสีสันสวยงามไหลพุ่งออกมาจากตะกร้าดอกไม้ มีทั้งหมดเก้าสี รุ้งเทพแต่ละชนิดล้วนกลายเป็นสัตว์เทพดึกดำบรรพ์รูปร่างแปลกประหลาด ส่งเสียงคำรามสะท้านฟ้าสะเทือนดิน พุ่งเข้าใส่หลินสวิน
บรรพจารย์จักรพรรดิสามคนลงมือ อานุภาพนั้นน่ากลัวระดับใด
ก็เห็นฟ้าดินที่เดิมเงียบสงบจมสู่ความปั่นป่วนทันที มหามรรคนานัปการกู่ก้อง เจตกระบี่แน่นขนัด ภาพมรรคม้วนตลบ สัตว์เทพแผดเสียงคำราม ทำให้ภูผาธาราสั่นสะเทือน ต้นไม้ใบหญ้ากลายเป็นเถ้าถ่าน
กฎระเบียบฟ้าดินของน่านฟ้าที่หนึ่งทนทานหาใดเปรียบ มีเพียงระดับอมตะที่ก่อให้เกิดภัยพิบัติราวกับทลายฟ้ามลายดินได้
เปรียบเทียบเช่นนี้แล้ว เมื่อบรรพจารย์จักรพรรดิที่มาจากสำนักศึกษาเยือกแข็งสามคนนี้ลงมือก็เปิดฉากทำลายล้างชวนประหวั่นเช่นนี้ได้ เห็นได้ว่ารากฐานพลังและมรรควิถีของพวกเขาก็ไม่ธรรมดา
ตูม!
แค่พริบตาเดียวบริเวณใกล้เชิงเขาพลันทรุดตัวพังทลาย ลำธารเหือดระเหย สรรพสิ่งล้วนดับสิ้นในแสงมรรคโหมกระหน่ำ
แต่ที่น่าแปลกคือในภาพทำลายล้างนั้น ไม่มีเงาร่างของหลินสวิน
นี่ทำให้จินจิ่วอิ๋นตกตะลึง ลอบอุทานว่าแย่แล้ว ขณะกำลังจะตอบสนอง เงาร่างสูงตระหง่านหนึ่งก็ปรากฏตัวกลางอากาศ วาดปลายนิ้วแล้วกดไปตรงหว่างคิ้วเขา
ปึง!
รูโหว่ชุ่มเลือดหนึ่งปรากฏตรงหว่างคิ้วของจินจิ่วอิ๋น เขาเบิกตากว้าง สีหน้าเต็มไปด้วยความงุนงงคล้ายยากจะเชื่อ
ตนถึงกับต้านพลังดรรชนีเดียวไม่อยู่!?
ครู่ต่อมาเขาก็สิ้นสติ ร่างกลายเป็นเถ้าถ่านลอยล่องทั่วฟ้าโดยไร้สุ้มเสียง พลังหนึ่งดรรชนีของหลินสวินนี้่ ไม่เพียงทะลวงผ่านพลังจิตของเขา ยังดับทำลายพลังชีวิตบนร่างเขาจนหมดด้วย!
“แย่แล้ว หนีเร็ว!”
ภาพนี้ถูกหวงเจิ้นกับซืออวิ๋นเฟยเห็นอยู่ในสายตาอย่างชัดเจน พวกเขาตกใจจนหนังหัวแทบระเบิด การตอบสนองแรกก็คือหนี
แต่หลินสวินมีหรือจะให้โอกาสพวกเขา
ก็เห็นเขาสะบัดแขนเสื้อคราหนึ่ง
ตูม!
แสงมรรคควบรวมกลางอากาศ กลายเป็นปราณกระบี่ไร้ขอบเขตดุจธารดาราสายหนึ่งปกคลุมเงาร่างของหวงเจิ้นไว้ในนั้น เขาต้านทานสุดชีวิต แผดเสียงตะโกนอย่างต่อเนื่อง ใช้ความสามารถที่มีทั้งหมดปลดปล่อยวิชามรรคและสมบัติลับนานัปการเหมือนไม่เสียดาย แต่ก็เปล่าประโยชน์โดยสิ้นเชิง ทั้งหมดล้วนถูกบดขยี้และซัดพินาศภายใต้ปราณกระบี่ไร้ขอบเขตนั้น
ปัง!
ทั้งตัวเขาระเบิดออกในพริบตา สิ้นชีพในปราณกระบี่โหมกระหน่ำไพศาลนั่น ก่อนตายเขาส่งเสียงร้องแหลมโหยหวนและไม่ยินยอมว่า
“เจ้าคือบุคคลปริศนาคนนั้น…!”
……………………….