บุคคลปริศนา!
ซืออวิ๋นเฟยใจกระตุกวูบ ในที่สุดก็เข้าใจแล้ว
นางถึงขั้นตระหนักได้ว่าคนผู้นี้รอพวกเขาอยู่ที่นี่ เห็นชัดว่ากำลังช่วยสำนักศึกษาสองลักษณ์ ไม่อย่างนั้นทำไมอีกฝ่ายถึงลงมือรุนแรงกับพวกเขาโดยไม่มีความแค้นต่อกันเล่า
‘เจ้าเนี่ยชิงหรงบัดซบต้องมีความสัมพันธ์ไม่ธรรมดากับบุคคลปริศนานี้แน่!’
ซืออวิ๋นเฟยไม่ได้โง่ คาดเดาความจริงบางส่วนออกโดยคร่าว แค้นจนกัดฟันกรอดอย่างอดไม่ได้
“เจ้าจะหนีไปได้ไกลเท่าไหร่”
เสียงราบเรียบหนึ่งดังขึ้นข้างหู สำหรับซืออวิ๋นเฟยแล้วไม่ต่างอะไรกับฟ้าผ่าลงกลางใจ ในใจนางสั่นสะท้าน พลันสะบัดมือสุดชีวิต
ฟุ่บ!
กระบี่มรรคที่ปกคลุมด้วยอักขระแน่นขนัดเล่มหนึ่งพุ่งออกมาพร้อมเสียงครวญ คลื่นพลังระเบียบสีเงินยวงทะยานออกมาชั่วพริบตา
ก่อนเคลื่อนไหวครั้งนี้ ซืออวิ๋นเฟยเพิ่งได้สมบัติลับชิ้นนี้มาจากมือของเจ้าสำนักแห่งสำนักศึกษาเยือกแข็ง ทำให้ใช้พลังระเบียบได้
เดิมทีพวกเขาคิดว่าหลังจากเข้าไปในสำนักศึกษาสองลักษณ์แล้วค่อยใช้มันกำราบเนี่ยชิงหรง แต่ตอนนี้กลับถูกซืออวิ๋นเฟยนำมาใช้เป็นวิธีหนีเอาตัวรอด
ตูม!
พลังระเบียบสีเงินราวกับประกายสายฟ้า สาดส่องภูผาธาราจนเจิดจ้าไปทั้งแถบ กลิ่นอายชวนประหวั่นน่าพรั่นพรึงเป็นอย่างยิ่ง
กลับเห็นหลินสวินยื่นมือไปคว้า กลางฝ่ามือเผยเงามายาเตากระบี่ไร้ก้นบึ้งรางๆ จากนั้นพลังระเบียบสีเงินนั่นก็เหมือนอสรพิษที่ถูกบีบและเขมือบกลืนอย่างต่อเนื่อง เพียงพริบตาก็หายลับไป
กลายเป็นอาหารของอู๋ซวง!
วิญญาณซืออวิ๋นเฟยเกือบหลุดออกจากร่าง แทบไม่กล้าเชื่อสายตาตัวเอง สภาพอารมณ์ของนางตอนนี้เหมือนโหยวเชียนเหิงเมื่อตอนนั้นไม่มีผิด ไม่กล้าเชื่อว่าทำไมพลังระเบียบถึงถูกซัดพินาศโดยง่ายเช่นนี้
“เจ้าเป็นใครกันแน่!?” นางส่งเสียงร้องแหลม ใบหน้างามซีดเผือด
สิ่งที่ตอบนางคือปราณกระบี่สายหนึ่งที่พุ่งเข้ามา เจิดจ้าดุจสายรุ้ง พาดขวางเก้าชั้นฟ้า ทำให้สายตาและจิตใจของนางสั่นสะท้าน
ฉัวะ!
ครู่ต่อมาเงาร่างนางร่วงโรย ดับสลายหายไป
“ในเมื่อตายแล้ว ข้าเป็นใครสำคัญด้วยรึ…”
หลินสวินส่ายหัวแล้วหันหลังจากไป
เงาร่างเขาเพิ่งหายไปไม่นาน แสงเคลื่อนไหวตระการตากลุ่มหนึ่งก็พุ่งมาจากสำนักศึกษาสองลักษณ์ในส่วนลึกของเทือกเขาเสินถูนั่น มุ่งมาทางนี้
คนที่เป็นผู้นำคือเนี่ยชิงหรง เหลิ่งชิงเสวี่ยและเหล่าบุคคลสำคัญของสำนักศึกษาสองลักษณ์นั่นเอง
เห็นชัดว่าการต่อสู้ซึ่งเกิดขึ้นที่นี่สะเทือนสำนักศึกษาสองลักษณ์เช่นกัน
แต่เมื่อพวกเขามาถึง การต่อสู้ก็สิ้นสุดไปแล้ว เหลือเพียงภูผาธารากระจัดกระจายกับความบอบช้ำทั่วหัวระแหงนั่น
“นี่มันเรื่องอะไรกัน”
หลายคนตื่นตระหนกไม่หยุด
“ไม่ใช่ว่ารองเจ้าสำนักสามคนของสำนักศึกษาเยือกแข็งจะมารึ หรือประสบเคราะห์สังหารที่นี่จนตายไปแล้ว” มีคนแปลกใจสงสัย คาดเดาอะไรได้รางๆ สายตามองไปทางเนี่ยชิงหรง
“ก่อนจะรู้ความจริงอย่าคาดเดาส่งเดช” เนี่ยชิงหรงเหลือบมองคนผู้นั้น แววตาเยียบเย็นนั่นทำให้ฝ่ายหลังหน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อยก่อนก้มหน้าลง
“ไปเถอะ กลับสำนัก”
ครู่ต่อมาเนี่ยชิงหรงก็ตัดสินใจพาคนกลับไป
แม้ว่าทุกคนจะมึนงง แต่ยังจากไปพร้อมนางโดยดี
มีเพียงเหลิ่งชิงเสวี่ยที่เหมือนเข้าใจแล้ว อดสื่อจิตไม่ได้ ‘พี่สาว สหายยุทธ์ท่านนั้นไม่ร้ายกาจเกินไปหน่อยหรือ ตั้งแต่เริ่มจนถึงปิดฉาก การต่อสู้นี้เพิ่งผ่านไปเพียงชั่วขณะเท่านั้น’
คนอื่นไม่รู้ แต่นางมีหรือจะไม่รู้ว่าทุกอย่างนี้เป็นฝีมือของหลินสวิน
‘หากไม่ใช่ว่ามีเขาอยู่ วันนี้สำนักศึกษาสองลักษณ์ของพวกเราคงประสบเคราะห์แล้ว’ ในใจเนี่ยชิงหรงว้าวุ่นเจือความทอดถอนใจ
ติดค้างไมตรีของหลินสวิน เกรงว่าชาตินี้ทั้งชาติคงใช้คืนไม่หมดแล้ว…
เคราะห์สังหารคราหนึ่งถูกสลายไปหน้าเทือกเขาเสินถูเช่นนี้ ขณะที่ผู้ฝึกปราณของสำนักศึกษาสองลักษณ์พวกนั้นยังงมโข่ง หลินสวินก็กลับมายังที่พักอย่างเงียบเชียบแล้ว
นอกจากเนี่ยชิงหรงกับเหลิ่งชิงเสวี่ยแล้ว ไม่มีใครรู้ว่า ‘บุคคลปริศนา’ อย่างเขาอยู่ในสำนักศึกษาสองลักษณ์มาตลอด
“สหายยุทธ์ ขอบคุณมาก” พริบตาแรกที่กลับมาถึงสำนักศึกษาสองลักษณ์ เนี่ยชิงหรงก็มายังที่พักของหลินสวิน บนใบหน้าพริ้งเพราขาวกระจ่างยากปกปิดความซาบซึ้งใจ
“ข้าบอกแล้ว นี่เป็นของขวัญที่ช่วยรับเสี่ยวซีเป็นศิษย์”
หลินสวินยิ้มอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นจึงกล่าว “นอกจากนี้ก็ช่วยข้าเตรียมแผนที่สำนักศึกษาเยือกแข็งแห่งแดนเพลิงทักษิณสักฉบับ”
เนี่ยชิงหรงอดตะลึงไม่ได้ “สหายยุทธ์ นี่เจ้าจะทำอะไร”
“การรอศัตรูมาหาถึงที่อย่างไรก็เป็นฝ่ายถูกกระทำเกินไป เจ้าว่าอย่างไรเล่า” หลินสวินยิ้มกล่าว
เนี่ยชิงหรงเข้าใจในทันที จิตใจปั่นป่วน
…
วันต่อมา
หลินสวินออกจากสำนักศึกษาสองลักษณ์ไปเงียบๆ
เขาไม่ได้รีบเร่งเดินทาง ก้าวเดินลำพังในน่านฟ้าที่หนึ่งเหมือนนักท่องเที่ยว กลางวันเยื้องย่างกลางภูผาธาราไร้ขอบเขต กลางคืนเดินอยู่ในเมืองที่เจริญรุ่งเรือง…
นี่ยังเป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสทิวทัศน์ของโลกยอดนิรันดร์โดยละเอียดและแท้จริง แม้ว่านี่จะเป็นแค่น่านฟ้าที่หนึ่ง แต่สำหรับหลินสวินแล้วก็มีความรู้สึกว่าได้เปิดโลกทัศน์อยู่บ่อยครั้ง
หนึ่งเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เวลานี้ในที่สุดหลินสวินก็มาถึงเมืองที่มีนามว่า ‘ธารมัจฉา’ ซึ่งอยู่ใกล้สำนักศึกษาเยือกแข็งที่สุด
ใช่ว่าเขาจงใจชะลอฝีเท้า แต่หนทางตั้งแต่ออกเดินทางจากแดนทุ่งบูรพาถึงแดนเพลิงทักษิณนั้นห่างไกลกันเกินไป
‘คืนนี้พักที่นี่แล้วกัน’
หลินสวินหาโรงเตี๊ยมหลังหนึ่งเป็นที่พัก
พูดว่าเป็นโรงเตี๊ยม ความจริงเป็นคฤหาสน์ที่สร้างจากถ้ำสวรรค์ส่วนตัวหลายแห่ง หรูหราถึงขีดสุด สามารถตอบสนองความต้องการในการฝึกปราณของระดับจักรพรรดิได้
แน่นอนว่าความแพงของราคาก็ไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกปราณทั่วไปจ่ายได้
‘ไม่เกินสามเดือนพลังของข้าก็จะฟื้นคืนสู่สภาพยอดเยี่ยม…’
หลินสวินนั่งสมาธิ สงบจิตสัมผัสพลังขับเคลื่อนของตน เขาสัมผัสได้ว่าแม้พลังจะฟื้นฟูกลับมาแล้ว แต่พลังปราณยังอยู่ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิขั้นต้นเหมือนเดิม
แต่เทียบกับอดีตแล้วกลับต่างไปโดยสิ้นเชิง
ด้วยการสร้างมรรคาขึ้นใหม่ครั้งนี้เหมือนเกิดใหม่จากนิพพาน หยัดยืนหลังความพินาศ ทั้งใช้คัมภีร์เตาหลอมมหามรรคเป็นรากฐานในการฝึกใหม่ ฐานมรรคและศักยภาพแฝงที่เคี่ยวกรำออกมา เทียบกับแต่ก่อนแล้วแข็งแกร่งขึ้นอีกช่วงใหญ่
ส่วนการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนที่สุดคือพลังพรสวรรค์!
ช่วงนี้ตรงเส้นปราณหัวใจนั้นของเขาเกิดคลื่นประหลาดลึกลับบ่อยครั้ง ทำให้หน้าอกของเขารู้สึกร้อนผ่าวอยู่รางๆ
ทำให้หลินสวินอดสงสัยไม่ได้ ว่านี่ใช่สัญญาณการตื่นของอภินิหารพรสวรรค์ขั้นสามหรือไม่!
หากเป็นเช่นนี้จริง นั่นก็ทำให้คนเฝ้ารอเกินไปแล้ว
ตอนอยู่ในโบราณสถานยอดยุทธ์ของแดนใหญ่พันศึก เขาเคยเห็นเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์สำแดงอานุภาพของ ‘ดาบแห่งกาลเวลา’ ซัดเหวยหมิงจื่อนั่นกลับไปเป็นหนุ่มในคราเดียว มรรควิถีทั้งตัวถูกบั่นทอน เรียกได้ว่าเย้ยฟ้าและวิปริต
และปัจจุบันอภินิหารดาบแห่งกาลเวลานี้ก็ถูกผนึกอยู่ในเส้นปราณหัวใจของเขาด้วย!
ตอนนั้นหลินสวินเคยคาดเดาว่าเมื่อตนปลุกพรสวรรค์ขั้นสาม จะสามารถควบคุมอภินิหารดาบแห่งกาลเวลานี้ได้โดยง่าย
พร้อมกันนั้นยังสามารถปลุกพลังพรสวรรค์ของตนได้เช่นกัน!
ด้วยทุกคนที่ครอบครองพรสวรรค์หุบเหวกลืนกิน ยามปลุกพลังพรสวรรค์ อภินิหารพรสวรรค์ที่ได้รับล้วนไม่เหมือนกัน
อย่างจักรพรรดิสงครามดับดารา พลังที่ปลุกขึ้นมาคือ ‘วิชาดับดารา’
พรสวรรค์ขั้นแรกที่หลินสวินปลุกได้ ก็คือดับดาราและกลืนกิน พรสวรรค์ที่ตื่นขั้นสองก็คืออภินิหารหยุดเวลา
แต่กล่าวกันถึงที่สุดแล้ว พลังและพรสวรรค์ของหุบเหวกลืนกินล้วนเกี่ยวกับกฎเกณฑ์เวลาทั้งสิ้น!
‘หากปลุกอภินิหารพรสวรรค์ขั้นสามได้ ยามเจอระดับอมตะอีกครั้งก็อาจมีแรงสู้แล้ว…’
นัยน์ตาดำของหลินสวินเป็นประกาย ในใจไม่วายเฝ้ารออยู่ลึกๆ
…
เช้าตรู่วันรุ่งขึ้น ฟ้ายังไม่สว่างหลินสวินก็ออกจากโรงเตี๊ยมไปเงียบๆ
ขณะเดียวกันส่วนลึกของเทือกเขาธารหมอก สถานที่ตั้งของสำนักศึกษาเยือกแข็ง
‘คำนวณเวลาดูแล้ว พวกจินจิ่วอิ๋นก็น่าจะกลับมาแล้ว…’
ในตำหนักทองอร่ามเรืองรองหลังหนึ่ง เจ้าสำนักแห่งสำนักศึกษาเยือกแข็งรุ่ยไท่ฝูสองมือไพล่หลัง ก้าวเดินไม่หยุด
‘ครั้งนี้หากนำแผนภาพที่เกี่ยวข้องกับพลังระเบียบภาพนั้นกลับมาได้ ข้าไม่จำเป็นต้องไปเสาะหา รอทูตท่องสวรรค์ของตระกูลเหวินมาถึง เมื่อมอบภาพนี้ให้ก็จะเป็นผลงานครั้งใหญ่ ถึงตอนนั้น…’
รุ่ยไท่ฝูนึกถึงตรงนี้แล้วจิตใจพลันปั่นป่วน นัยน์ตาฉายแววมุ่งหวังใฝ่ฝัน ‘ข้ามีหรือจะต้องกังวลว่าไม่อาจเข้าไปฝึกปราณในน่านฟ้าที่หกอีก’
“เด็กๆ”
รุ่ยไท่ฝูพลันเอ่ยปาก
เงาร่างของผู้ติดตามคนหนึ่งปรากฏตัวนอกตำหนักใหญ่ พูดอย่างนอบน้อม “ใต้เท้ามีเรื่องใดสั่งความ”
“ยังไม่มีข่าวจากพวกรองเจ้าสำนักจินจิ่วอิ๋นหรือ” รุ่ยไท่ฝูถาม
หลายวันมานี้เขาแทบจะถามทุกช่วงเวลา
ผู้ติดตามส่ายหัวพลางเอ่ยเสียงเบา “ใต้เท้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกินไป การเดินทางครั้งนี้ของพวกรองเจ้าสำนักจินต้องประสบความสำเร็จโดยเร็ว และกลับมาพร้อมชัยชนะยิ่งใหญ่แน่”
“กลับมาพร้อมชัยชนะยิ่งใหญ่? ข้าหวังแค่พวกเขานำแผนภาพนั้นกลับมาได้ข้าก็พอใจมากแล้ว” รุ่ยไท่ฝูถอนใจยาว
“แต่น่าเสียดายที่พวกเขาไม่กลับมาแล้ว ส่วนเจ้าก็ถูกลิขิตให้ไม่อาจพึงพอใจ”
ทันใดนั้นเสียงราบเรียบนิ่งสงบหนึ่งดังขึ้นนอกตำหนัก
รุ่ยไท่ฝูนัยน์ตาหดรัด พลันเห็นเงาร่างสูงตระหง่านหนึ่งปรากฏตัวกลางอากาศอยู่นอกตำหนักนั่น รูปร่างท่าทางดูแปลกหน้าเป็นอย่างยิ่ง
“บังอาจ เจ้าเป็นใคร ถึงได้กล้าแฝงตัวเข้ามาในสำนักศึกษาเยือกแข็งของข้าตามอำเภอใจ”
ผู้ติดตามคนนั้นพลันบันดาลโทสะ เอ่ยปากตวาดด่า
ผู้มาเยือนเป็นหลินสวินนั่นเอง เขากล่าวลวกๆ “สถานที่นี้ไม่ใช่ถ้ำพยัคฆ์วังมังกร ข้าอยากมาก็มา อยากไปก็ไป ทำไมต้องหลบๆ ซ่อนๆ แฝงตัวเข้ามาด้วย”
“เจ้า…” ผู้ติดตามเพิ่งเอ่ยปากก็รู้สึกเพียงจิตวิญญาณปวดแปลบ หมดสติไปล้มพับลงไปกองกับพื้น
ส่วนหลินสวินมองไปทางรุ่ยไท่ฝูพลางกล่าว “เจ้าก็คือเจ้าสำนักแห่งสำนักศึกษาเยือกแข็งหรือ”
เวลานี้รุ่ยไท่ฝูใจเย็นลงแล้ว นัยน์ตาส่องประกายวาววามกล่าวว่า “เจ้าเป็นใครกัน”
หลินสวินยิ้มน้อยๆ “ข้ากำลังถามเจ้า เจ้าแค่ตอบมาก็พอแล้ว หากไม่ให้ความร่วมมือก็อย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ”
สีหน้ารุ่ยไท่ฝูเปลี่ยนเป็นไม่น่าดูหาใดเปรียบ ที่นี่เป็นอาณาเขตของเขา! หลายปีมานี้ใครกล้าข่มขู่เขาเช่นนี้บ้าง
จากนั้นเขาเหมือนคาดเดาอะไรได้ก่อนกล่าวทันควัน “เจ้าคือบุคคลปริศนาที่ฆ่าโหยวเชียนเหิงหรือ”
หลินสวินถอนหายใจเบาๆ “ดูเหมือนว่าเจ้าจะไม่ได้ยินคำที่ข้าพูด”
เสียงยังดังก้อง แต่เงาร่างเขาหายไปกลางอากาศแล้ว
รุ่ยไท่ฝูผงะในใจวูบหนึ่ง เปลวไฟพวยพุ่งไปทั้งตัว ส่งเสียงตวาดลั่น
“ทะยาน!”
พลังระเบียบสีเงินแถบหนึ่งพลันปรากฏออกมาจากตำหนัก ควบรวมเป็นสายโซ่เทพแน่นขนัดกลางอากาศ ปกป้องตัวรุ่ยไท่ฝูไว้อย่างแน่นหนา
ขณะเดียวกันเงาร่างหลินสวินก็ปรากฏ สิ่งที่เร็วกว่าเขาคือประทับฝ่ามือเจิดจรัสที่ซัดออกมาเต็มแรง ราวกับแสงไหวเคลื่อนที่รวดเร็วดุดันเผด็จการสายหนึ่ง
ตูม!
เพียงชั่วพริบตาพลังระเบียบที่ถูกรุ่ยไท่ฝูมองไม่อาจโจมตีและไม่อาจสั่นคลอนก็พังทลาย แตกกระจายเป็นชิ้นๆ ท่ามกลางเสียงระเบิดดังครั่นครืน!
………………………