น่านฟ้าที่ห้า
ในส่วนลึกของทุ่งน้ำแข็งตะวันตกเฉียงเหนือ ภายในถ้ำสถิตที่ตั้งอยู่ในพื้นที่หมื่นจั้งใต้ดิน
แสงประกายเขียวมรกตล่องลอย ต้นหงเหมิงหมื่นมรรคหยั่งราก ใบไม้แกว่งไกว แผ่นัยเร้นลับมหามรรคชั้นยอดของยุคก่อนออกมา
หลินสวินนั่งขัดสมาธิ กำลังสงบจิตหยั่งรู้นัยเร้นลับมหามรรค
ไม่ไกลนักเนี่ยชิงหรงกำลังหลอมศาสตราจักรพรรดิ เหลิ่งชิงเสวี่ยกำลังชี้แนะเสี่ยวซีฝึกปราณ
แม้โลกภายนอกจะหนาวเหน็บเสียดกระดูก ภายในถ้ำสถิตกลับอบอุ่นราวกับฤดูใบไม้ผลิ เงียบสงบสันติ
นี่เป็นเดือนที่สามที่พวกหลินสวินเข้าสู่น่านฟ้าที่ห้า
และเป็นเวลาสามปีสี่เดือนหลังจากพวกหลินสวินออกจากน่านฟ้าที่หนึ่ง
สามปีมานี้ ตั้งแต่น่านฟ้าที่หนึ่งจนกระทั่งมาถึงน่านฟ้าที่สี่ ล้วนถูกหลินสวินบุกอย่างพลิกฟ้าพลิกดิน สร้างความสะเทือนไหวไปทั่ว
เหล่าคนที่รับใช้ขุมอำนาจศัตรูร่วงหล่นไปไม่รู้เท่าไหร่!
สำหรับหลินสวิน นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการโต้ตอบเท่านั้น
ถึงอย่างไรระหว่างทางคนที่ถูกเขาฆ่า ก็เป็นเพียงแค่หมารับใช้กลุ่มหนึ่งเท่านั้น
และความสูญเสียของพวกเผ่าจักรพรรดิอมตะก็ไม่ได้รุนแรง
ดังนั้นแม้ในหลายปีมานี้ชื่อเสียงของเขาโด่งดังขึ้นเรื่อยๆ ดุดันรุนแรงยิ่งขึ้น แต่สำหรับหลินสวิน ยังไม่ถึงกับมีอะไรควรค่าแก่การภาคภูมิใจ
“ข้าออกไปเดินเล่นสักหน่อย”
ครู่ใหญ่หลินสวินลุกจากการนั่งสมาธิ ก่อนกำชับว่า “ก่อนที่ข้าจะกลับมาอย่าได้ออกจากที่นี่”
เนี่ยชิงหรง เหลิ่งชิงเสวี่ยและเสี่ยวซีพยักหน้าโดยพร้อมเพรียงกัน
หลายปีมานี้พวกนางเดินทางพร้อมกับหลินสวิน แม้เวลาส่วนใหญ่จะอยู่ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ทว่าเรื่องที่หลินสวินทำพวกนางล้วนเห็นอยู่ในสายตา
ตอนแรกสุดพวกนางยังอดเป็นห่วงหลินสวินไม่ได้ ทว่าตั้งแต่หลินสวินสลายอันตรายครั้งแล้วครั้งเล่า และยังบุกสังหารตั้งแต่น่านฟ้าที่สองมาถึงน่านฟ้าที่ห้า พลังเย้ยฟ้าที่หลินสวินสำแดงออกมาทำให้ในใจพวกนางเลื่อมใสนานแล้ว ไม่กังวลและประหม่าเหมือนตอนแรกอีกต่อไป
ความจริงสามารถติดตามหลินสวินมาถึงวันนี้ได้ สำหรับพวกนางก็เหมือนความฝัน มักรู้สึกไม่สมจริง
“พี่หลินคงไม่ได้จะไปต่อสู้กระมัง”
หลังจากหลินสวินจากไป เหลิ่งชิงเสวี่ยอดถามไม่ได้
หลายปีมานี้ทุกครั้งที่ถึงน่านฟ้าใหม่ หลินสวินจะเก็บตัวก่อนช่วงหนึ่ง จนกระทั่งหลังจากรู้สถานการณ์โดยละเอียดของน่านฟ้านี้แล้วจึงจะเปิดฉากเข่นฆ่า
“คงไม่ถึงกับต่อสู้ แต่จะต้องไปสืบข่าวแน่”
ในดวงตาคู่งามของเนี่ยชิงหรงเผยแววใคร่ครวญ “นี่เป็นน่านฟ้าที่ห้าแล้ว แตกต่างจากน่านฟ้าอื่นๆ น่านฟ้านี้มีเขตอิทธิพลของพวกเผ่าจักรพรรดิอมตะมากมายตั้งอยู่ แม้ไม่สามารถเทียบได้กับน่านฟ้าที่หก แต่ในขุมอำนาจเหล่านี้ก็มีระดับอมตะดูแล…”
“ต่อให้ไม่พูดถึงขุมอำนาจเหล่านี้ พวกเผ่าจักรพรรดิอมตะของน่านฟ้าที่หก ในหลายปีก่อนหน้านี้ก็ถูกพี่หลินหาเรื่องจนหน้าเขียว แทบจะรักษาหน้าไว้ไม่อยู่… หากข้าเป็นพวกเขาจะต้องเคลื่อนกำลังที่แข็งแกร่งที่สุด ใช้การโจมตีที่อันตรายถึงชีวิตกับพี่หลินในน่านฟ้าที่ห้านี้”
พูดถึงสุดท้ายเสียงกลับเป็นเบาลงแล้ว สภาวะจิตตึงเครียดขึ้นมา
เหลิ่งชิงเสวี่ยอึ้งไปครู่ใหญ่ พยักหน้าพูด “ที่พี่สาวพูดมีเหตุผล เหนือน่านฟ้าที่ห้าก็คือน่านห้าที่หก ที่นั่นเป็นอาณาเขตของเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้น หากครั้งนี้ไม่สามารถขวางพี่หลินไว้ได้ อีกไม่นานพี่หลินก็คงทะยานไปถึงน่านฟ้าที่หก”
“หากเป็นเช่นนี้ พวกศัตรูในน่านฟ้าที่หกคงกินไม่ได้นอนไม่หลับกันแน่!”
“ถึงอย่างไรหลายปีมานี้แม้พวกเขาจะสูญเสียอย่างมาก แต่สิ่งที่เสียไปล้วนเป็นคนใต้อาณัติที่รับใช้พวกเขา แต่ถ้าพี่หลินไปถึงน่านฟ้าที่หก ตัวตนของเขาก็เหมือนดาบคม สามารถคุกคามบรรดาเผ่าจักรพรรดิอมตะโดยตรง!”
“บางทีด้วยพลังต่อสู้ของพี่หลินในตอนนี้ อาจไม่สามารถกวาดล้างเผ่าจักรพรรดิอมตะได้ แต่ถ้าเขามีความคิดที่จะทำลาย จะมีเผ่าจักรพรรดิอมตะสักกี่ตระกูลที่สามารถรับการเคี่ยวกรำเช่นนี้ได้”
คำพูดนี้ทำให้เนี่ยชิงหรงอดประหลาดใจไม่ได้ เอ่ยว่า “ชิงเสวี่ย ตอนนี้เจ้าพิจารณาเรื่องราวรอบคอบกว่าเมื่อก่อนแล้ว”
“การฝึกมรรคเกี่ยวข้องกับจิตใจและเรื่องราวที่ประสบ ข้าในสมัยก่อนคิดแต่จะฝึกปราณ ไม่สนใจเรื่องราวบนโลก นั่นเพราะว่าข้ารู้ตัวว่าความหวังที่จะไปจากน่านฟ้าที่หนึ่งริบหรี่มาก”
บนใบหน้างามของเหลิ่งชิงเสวี่ยเผยรอยยิ้มบางๆ “แต่ตอนนี้ไม่เหมือนกัน พวกเรามาถึงน่านฟ้าที่ห้าแล้ว ทุกอย่างล้วนแตกต่างกับก่อนหน้านี้ ข้าย่อมไม่สามารถเหมือนเมื่อก่อนได้แล้ว”
เนี่ยชิงหรงชื่นชม “นี่เรียกว่าเรื่องราวบนโลกล้วนเป็นความรู้ การได้พบเจอเรื่องราวบนโลก การเปลี่ยนแปลงของจิตใจ มักหมายความว่ามรรคาก็เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ละเอียดอ่อนขึ้นด้วย”
“นี่ต้องขอบคุณพี่หลิน หากไม่ใช่เพราะเขาพาพวกเราออกจากน่านฟ้าที่หนึ่ง ชาตินี้พวกเราคงไม่มีโอกาสมาถึงน่านฟ้าที่ห้านี้”
พูดถึงตรงนี้เหลิ่งชิงเสวี่ยอดกังวลขึ้นมาไม่ได้ “เพียงแต่สถานการณ์ของน่านฟ้าที่ห้าคงอันตรายกว่าที่เราคิด พี่หลินเขา…”
“วางใจเถอะ พี่หลินจะต้องไม่เป็นอะไร”
เนี่ยชิงหรงพูดด้วยสายตาแน่วแน่
เสี่ยวซีที่เงียบฟังมาโดยตลอดก็พยักหน้าแรงๆ พูดด้วยเสียงใสกังวาน “พี่เต้ายวนร้ายกาจขนาดนั้น แน่นอนว่าต้องไม่เป็นอะไร!”
……
ฟ้าดินกว้างใหญ่ไพศาล หิมะโปรยปราย
หลินสวินเอามือไพล่หลังพลางก้าวเดินไปข้างหน้า ทุกย่างก้าวล้วนเหมือนย่อระยะพื้นดิน หายไปในชั่วพริบตา
เหมือนกับเนี่ยชิงหรงและเหลิ่งชิงเสวี่ย หลินสวินเองก็รู้ดีว่าน่านฟ้าที่ห้านี้แตกต่างกับก่อนหน้า มีความเป็นไปได้สูงมากที่ศัตรูจะลอบเคลื่อนไหวในที่มืดนานแล้ว
แต่หลินสวินไม่กลัว
ก่อนหน้านี้ด้วยข้อจำกัดด้านศักยภาพ ทำให้ตอนที่เขาเผชิญหน้ากับพวกน่ากลัวบางส่วนมักจะเลือกถอยหนี หากไม่เก็บตัวก็รีบจากไป
แต่เขาในตอนนี้แตกต่างจากก่อนหน้านี้แล้ว ยังจะอดทนและถอยหนีได้อย่างไร
ในการต่อสู้และเข่นฆ่าหลายปีมานี้เขาประสบอันตรายหลายต่อหลายครั้ง ถึงขั้นถูกระดับอมตะเพ่งเล็ง ดำเนินการตามฆ่า แต่ทุกครั้งเขาล้วนรอดมาได้หวุดหวิด!
กล่าวอีกนัยหนึ่ง นอกเสียจากตกอยู่ในภาวะคับขันสุดขีด ไม่เช่นนั้นแม้แต่ระดับอมตะก็ไม่มีโอกาสฆ่าเขาให้ตายได้สักเท่าไหร่!
ก็เพราะเช่นนี้ หลายปีมานี้เขาจึงสามารถต่อสู้ตลอดทาง สังหารจากน่านฟ้าที่สองมาถึงน่านฟ้าที่ห้า
‘ใกล้แล้ว รอข้าก้าวสู่ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิขั้นสมบูรณ์ขั้นปลาย บางทีอาจสามารถไปสู้ซึ่งหน้ากับระดับอมตะกันได้…’
หลินสวินเดินไปพลางหยั่งรู้นัยเร้นลับของพลังขับเคลื่อนของตน
การต่อสู้หลายปีมานี้ทำให้มรรควิถีของเขาแปรสภาพในการเข่นฆ่าและอันตรายหลายครั้ง ตอนนี้พลังปราณทะลวงระดับบรรพจารย์ขั้นกลางแล้ว มาถึงขั้นสมบูรณ์แล้ว!
การพัฒนาที่ก้าวกระโดดนี้เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนและต่อสู้ และมีความเกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม
หากไม่ใช่เพราะไปจากน่านฟ้าที่หนึ่ง แม้แต่หลินสวินก็ไม่กล้าจินตนาการว่าน่านฟ้าที่สูงกว่าจะมีส่วนช่วยอย่างมากต่อการฝึกปราณ
อย่างเช่นในสายตาของระดับจักรพรรดิ หากบอกว่าน่านฟ้าที่หนึ่งเป็นสระเล็กๆ แห่งหนึ่ง ถ้าอย่างนั้นน่านฟ้าที่สองก็คือลำธารที่ไหลเชี่ยวสายหนึ่ง
น่านฟ้าที่สามเปรียบเสมือนทะเลสาบที่กว้างใหญ่
ส่วนน่านฟ้าที่สี่ ประหนึ่งแม่น้ำสายใหญ่ที่พวยพุ่ง
และน่านฟ้าที่ห้านี้ ก็เหมือนมหาสมุทรไร้สิ้นสุด!
ความแตกต่างของน่านฟ้าที่อยู่ แม้แต่กฎระเบียบโลก กลิ่นอายมหามรรคและไอวิญญาณฟ้าดิน… ล้วนมีการเปลี่ยนแปลงที่แตกต่างอย่างสมบูรณ์
อิงตามการคาดเดาของหลินสวิน เพียงแค่น่านฟ้าที่สามก็สามารถทำให้ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิทุกคนใช้ชีวิตอย่างอิสระมาก ส่วนน่านฟ้าที่สี่สามารถตอบสนองการฝึกปราณของระดับอมตะได้แล้ว
และน่านฟ้าที่ห้า ไม่เพียงสามารถจัดหาทรัพยากรฝึกปราณให้กับระดับอมตะ ยังมีคุณสมบัติพอให้ระดับอมตะทะลวงขั้น!
ไม่แปลกที่ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิอย่างพวกเนี่ยชิงหรง เหลิ่งชิงเสวี่ยจะยึดมั่นต่อการไปจากน่านฟ้าที่หนึ่ง เพราะน่านฟ้าที่สูงขึ้น ก็มีสภาพที่แตกต่างกันโดยสมบูรณ์
หลินสวินถึงขั้นกล้ามั่นใจว่าหากไม่ได้ไปจากน่านฟ้าที่หนึ่ง พลังปราณของเขาไม่มีทางพัฒนาเร็วขนาดนี้!
บางทีหลินสวินก็คิดถึงพวกศิษย์พี่ในคีรีดวงกมล ด้วยรากฐานพลังและความสามารถของพวกเขา ถูกกำราบอยู่ในทางเดินโบราณฟ้าดารามานานขนาดนั้น หลังจากมาถึงโลกยอดนิรันดร์ก็เหมือนมังกรทะยานฟ้า มรรควิถีจะต้องพัฒนาอย่างเหนือจินตนาการภายในระยะเวลาอันสั้นแน่!
‘นี่เป็นเพียงแค่น่านฟ้าที่ห้าเท่านั้น เมื่อเทียบกันแล้วน่านฟ้าที่หก เจ็ด และแปดจะเป็นอย่างไร’
หลินสวินอดทอดถอนใจไม่ได้
เขานึกถึงยามอยู่ที่โบราณสถานทวยเทพ มกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิที่เจออย่างพวกฉีหลิงอวิ๋น จงหลีเซียว ชือพั่วจวิน
นึกถึงอวิ๋นลั่วหงที่ถูกยกย่องว่าเป็นหนึ่งในสิบมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิแห่งน่านฟ้าที่เจ็ด
คนชั้นสูงที่เรียกได้ว่าสะดุดตาเหล่านี้ ตั้งแต่เกิดมาก็ฝึกปราณอยู่ในน่านฟ้าที่เจ็ดและแปด เบื้องหลังมีเผ่าจักรพรรดิอมตะคอยสนับสนุน ได้รับทรัพยากรฝึกปราณล้ำค่าที่ผู้ฝึกปราณทั่วไปไม่สามารถจินตนาการได้ตั้งแต่เด็ก เส้นทางมหามรรค… จะธรรมดาได้อย่างไร
โลกของการฝึกปราณถูกกำหนดให้ไม่ยุติธรรมตั้งแต่เกิด
ไม่ว่าจะมีความสามารถโดดเด่นแค่ไหน หากเกิดในสถานที่ที่อับจนก็จะถูกกักขังอยู่ในโลกเล็กๆ นั่นไปทั้งชีวิต
อย่างเช่นอวิ๋นชิ่งไป๋ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง
ตรงกันข้าม ต่อให้เจ้าจะธรรมดาแค่ไหน หากเกิดในขุมอำนาจสิบยักษ์ใหญ่อมตะแห่งน่านฟ้าที่แปด ความสำเร็จของชาตินี้ก็ถูกกำหนดให้ไม่มีทางต่ำ
คุณสมบัติธรรมดา?
เช่นนั้นก็ใช้วัตถุดิบเทพสร้างรากฐานฝึกปราณที่แข็งแกร่ง
พรสวรรค์ธรรมดา?
เช่นนั้นเชิญคนใหญ่คนโตระดับอมตะกลุ่มหนึ่งมาสอนสั่งวิชาให้ ชี้แนะข้อสับสน ย่อมไม่มีทางที่เจ้าจะไม่ตื่นรู้!
ความสามารถธรรมดา?
ไม่เป็นไร ใช้พลังต้องห้ามเย้ยฟ้าถอดรยางค์เปลี่ยนกระดูก สร้างร่างใหม่ให้เจ้า!
เป็นคนไร้ประโยชน์ที่ไม่สามารถฝึกได้?
ไม่เป็นไรด้วยอำนาจบารมีและพลังของตระกูล สามารถทำให้เจ้ามีชีวิตที่สุขสบายและเป็นอิสระ ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน
นี่ก็คือความไม่ยุติธรรม เป็นความจริงอันโหดร้ายที่ถูกกำหนดมาแต่กำเนิด
อย่างหลินสวินซึ่งออกมาจากคุกใต้เหมือง เติบโตอย่างน่าเวทนา เดินทางสู่จักรวรรดิจื่อเย่า ชื่อเสียงเลื่องลือในดินแดนรกร้างโบราณ…
หลายปีมานี้ผ่านอันตรายและการต่อสู้ไม่รู้เท่าไหร่ ยิ่งผ่านการเคี่ยวกรำเป็นตายมานับไม่ถ้วนกว่าจะครอบครองความสำเร็จมหามรรคในวันนี้
เมื่อเทียบกันแล้วคนชั้นสูงอย่างฉีหลิงอวิ๋น จงหลีเซียว ไม่จำเป็นต้องเจออุปสรรคมากมายขนาดนี้ก็สามารถครอบครองมรรควิถีระดับมกุฎบรรพจารย์จักรพรรดิเหมือนอย่างหลินสวินแล้ว!
นี่ก็คือความแตกต่างแต่กำเนิด
โชคดีที่ความแตกต่างแต่กำเนิดนี้ยังสามารถพึ่งความพยายามเป็นการชดเชยได้
ไม่เช่นนั้น โลกนี้ก็น่าสิ้นหวังเกินไปแล้ว…
……………………