ไม่กี่วันหลังจากนั้น
หลินสวินมาถึงเมืองแห่งหนึ่ง
บนถนน ในโรงน้ำชา ในหอสุรา… ทุกแห่งหนล้วนกำลังวิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดเปิดรับผู้สืบทอด
นี่ทำให้หลินสวินอดประหลาดใจไม่ได้
ไม่นานเขาก็สืบข่าวจนกระจ่าง และเมื่อได้รู้ข่าวลือเกี่ยวกับสี่หอบรรพจารย์ก็ประหลาดใจไม่หยุด
น่านฟ้าที่เจ็ดถึงกับมีขุมอำนาจที่โดดเด่นเช่นนี้ด้วยหรือ
ทำให้สิบยักษ์ใหญ่อมตะแห่งน่านฟ้าที่แปดยังต้องให้เกียรติ แค่คิดก็รู้ว่าเบื้องลึกเบื้องหลังของสี่หอบรรพจารย์น่ากลัวเพียงใด
กับเรื่องนี้หลินสวินไม่ได้สนใจนัก
เขาทำเหมือนกับหลายปีก่อนหน้านี้ เริ่มรวบรวมข้อมูลและข่าวสารเกี่ยวกับน่านฟ้าที่ห้าในเมือง เตรียมพร้อมเพื่อการต่อสู้หลังจากนี้
จนกระทั่งช่วงพลบค่ำหลินสวินจึงออกจากเมืองนี้
ในมือเขามีข้อมูลโดยละเอียดเกี่ยวกับขุมอำนาจใหญ่ในน่านฟ้าที่ห้า
แตกต่างกับสี่น่านฟ้าก่อนหน้านี้ ในน่านฟ้าที่ห้ามีเผ่าจักรพรรดิอมตะไม่น้อยตั้งรกรากอยู่ ขุมอำนาจเหล่านี้ต่างหากที่เป็นนายเหนือหัวของน่านฟ้าที่ห้า
ระหว่างพวกเขากับเผ่าจักรพรรดิอมตะของน่านฟ้าที่หกก็มีความเกี่ยวโยงกัน แต่ไม่ใช่บริวารใต้อาณัติ ต่างกับผู้ฝึกปราณที่รับใช้เผ่าจักรพรรดิอมตะแห่งน่านฟ้าที่หกเหล่านั้น
เมื่อผ่านการตรวจสอบจำแนกอย่างตั้งใจของหลินสวิน ถึงพบว่าตอนนี้ในน่านฟ้าที่ห้า ขุมอำนาจที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับศัตรูของเขามีเพียงหนึ่งเดียว…
สำนักศึกษาควันวายุ
นี่เป็นขุมอำนาจที่คัดเลือกอัจฉริยบุคคลให้กับบรรดาเผ่าจักรพรรดิอมตะแห่งน่านฟ้าที่หก ทว่าเบื้องหลังของขุมอำนาจนี้กลับซับซ้อนมาก
เหตุผลอยู่ที่ว่า ในเผ่าจักรพรรดิอมตะแห่งน่านฟ้าที่ห้า ก็มีคนหลายตระกูลเข้ามาฝึกปราณในสำนักศึกษาควันวายุแห่งนี้ ทำให้สำนักศึกษาควันวายุมีคนหลากหลายปะปนกัน กระจายเป็นกลุ่มก้อน
อย่างบรรดาคนใหญ่คนโตสำนักศึกษาควันวายุ ทั้งมีไมตรีที่ดีต่อเผ่าจักรพรรดิอมตะแห่งน่านฟ้าที่หก และมีความสัมพันธ์ที่โยงใยไปทั่วกับเผ่าจักรพรรดิอมตะในน่าฟ้าที่ห้า ทำให้ยากจะแยกแยะว่าคนเหล่านั้นเป็นคนของใครกันแน่
ใคร่ครวญครู่ใหญ่ สุดท้ายหลินสวินก็ตัดสินใจรออีกหน่อย
รอหลังจากสืบข่าวที่คุ้มค่ายิ่งกว่าค่อยตัดสินใจก็ยังไม่สาย
ช่วงเวลาหลังจากนั้นเขาเหมือนคนผ่านทางที่เร่งรีบคนหนึ่ง เดินทางผ่านภูผาธารา ผ่านเมืองต่างๆ ไม่ทันไรก็ผ่านไปเดือนหนึ่งแล้ว
และในมือหลินสวิน ข้อมูลที่มากขึ้นเรื่อยๆ ล้วนบ่งชี้ว่าสถานที่ตั้งของสำนักศึกษาควันวายุ ตอนนี้กลายเป็นถ้ำเสือบ่อมังกรไปแล้ว!
ขุมอำนาจศัตรูเหล่านั้นราวกับเดาออกว่าเขาจะเลือกสำนักศึกษาควันวายุเป็นเป้าหมาย จึงวางกำลังรอบๆ สำนักศึกษาควันวายุไว้ล่วงหน้า ระดมกำลังทั้งหมดซุ่มโจมตีอยู่ภายใน
ว่ากันว่ามีระดับอมตะมากมายเข้าร่วม
ว่ากันว่าครั้งนี้เพื่อฆ่าหลินสวิน บริเวณใกล้ๆ สำนักศึกษาควันวายุวางกับดักไว้ทั่วแล้ว ต่อให้เป็นระดับอมตะก้าวเข้าไปก็ยากจะหนีความตายพ้น
ว่ากันว่า…
ข่าวลือเช่นนี้มีนับไม่ถ้วน แม้ทำให้หลินสวินไม่สามารถแยกแยะจริงเท็จได้ แต่เมื่อข่าวลือเหล่านี้กระจายไปทั่วอย่างต่อเนื่อง ย่อมไม่มีทางเป็นข่าวลือที่ไม่มีมูล
‘พวกเขาช่างวางแผนดีจริงๆ’
หลินสวินอดถอนหายใจพร้อมรอยยิ้มไม่ได้
หลายปีมานี้เขาฆ่าศัตรูไปมากมาย ทว่าขอเพียงเป็นคนที่ใส่ใจก็ค้นพบได้ไม่ยาก ว่าทุกคนที่ถูกเขาฆ่าล้วนเป็นสุนัขรับใช้ในขุมอำนาจศัตรูของเขา
ศัตรูอาจเห็นจุดนี้ จึงจัดกองกำลังไว้ที่สำนักศึกษาควันวายุ เพราะทั้งน่านฟ้าที่ห้า มีเพียงสำนักศึกษาควันวายุที่มีความเป็นไปได้สูงสุดว่าจะเป็นเป้าหมายของหลินสวิน
เช่นนี้ก็มีเพียงสองผลลัพธ์
ถ้าเขามีความกล้าหาญเต็มเปี่ยม ไปบุกถ้ำเสือบ่อมังกร นี่ย่อมเป็นไปตามความต้องการของศัตรูอย่างไม่ต้องสงสัย
ถ้าเขาเลือกจะถอย เช่นนี้แผนการของศัตรูอาจจะคว้าน้ำเหลว แต่ก็ไม่ได้สูญเสียอะไร
เพียงแต่หลินสวินกลับไม่เชื่อว่าขุมอำนาจเหล่านั้นมีแผนการเพียงเท่านี้
เพราะที่นี่คือน่านฟ้าที่ห้า เหนือขึ้นไปก็คือน่านฟ้าที่หกแล้ว หากตนรอดชีวิตจากไป ศัตรูเหล่านั้นจะไม่กังวลว่าตนพุ่งไปน่านฟ้าที่หกหรือ
นำกองกำลังทั้งหมดซุ่มอยู่ที่สำนักศึกษาควันวายุ นี่เสียเปรียบเกินไปแล้ว
หลินสวินประหลาดใจมาก ข่าวเกี่ยวกับสำนักศึกษาควันวายุที่กระจายออกมาช่วงนี้ เป็นไปได้สูงว่าอาจเป็นวิธีสร้างความสับสน ขุมอำนาจศัตรูเหล่านั้นคงเคลื่อนไหวนานแล้ว
เพียงแต่หากตนเป็นพวกเขา จะเลือกขัดขวางตนที่ไหน
คิดถึงตรงนี้สายตาของหลินสวินอดมองไปยังท้องฟ้าห่างออกไปไม่ได้
เส้นทางดาราเขตแดน!
บางทีอาจจะอยู่บริเวณทางเข้าเส้นทางดาราเขตแดน!
‘เป็นเช่นนี้จริงหรือ…’
หลินสวินใคร่ครวญ สุดท้ายก็ไม่ได้ไปหยั่งเชิง แต่เลือกจะถอย
ไม่กี่วันหลังจากนั้น
ภายในถ้ำสถิตที่อยู่ลึกลงไปหมื่นจั้งในส่วนลึกของทุ่งน้ำแข็ง
“น่านฟ้าที่ห้าตอนนี้สถานการณ์ดูเหมือนแปลกประหลาดไม่แน่นอน แต่นั่นสำหรับข้าคนเดียว พวกเจ้าสามารถฝึกปราณอยู่ที่นี่ ไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะเจออันตรายอะไร”
หลินสวินเพิ่งกลับมาก็ตัดสินใจจัดแจงที่อยู่ให้พวกเนี่ยชิงหรง เหลิ่งชิงเสวี่ย เสี่ยวซี
เพราะถ้าเข้าสู่น่านฟ้าที่หก ศัตรูของเขามากเกินไป หากถูกศัตรูพบพวกเนี่ยชิงหรง จะต้องส่งผลต่อพวกนางอย่างแน่นอน
ในช่วงหลายปีมานี้แม้พวกเนี่ยชิงหรงจะอยู่กับตน แต่เวลาส่วนใหญ่ล้วนอยู่ในเตากระบี่ไร้ก้นบึ้ง ศัตรูไม่มีทางรู้ถึงตัวตนของพวกนาง
ในสถานการณ์เช่นนี้ ให้พวกนางอยู่ในน่านฟ้าที่ห้า ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะเกิดความวุ่นวายอะไร
พวกเนี่ยชิงหรง เหลิ่งชิงเสวี่ยเองก็เข้าใจจุดนี้ เพียงแต่แค่คิดว่าหลังจากนี้เป็นไปได้สูงมากที่จะต้องจากกับหลินสวิน ในใจก็อดอาลัยอาวรณ์ไม่ได้
“พี่หลิน ด้วยความสามารถของพวกเรา อยากอยู่รอดในน่านฟ้าที่ห้าเป็นเรื่องที่ง่ายมาก และพวกเราจะดูแลเสี่ยวซีให้ดี ไม่ให้นางถูกใครรังแก”
เนี่ยชิงหรงสูดหายใจลึกคราหนึ่งเอ่ยว่า “เพราะฉะนั้นเจ้าไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องของพวกเรา กลับเป็นเจ้า… ต้องรักษาตัวให้ดี”
ในคำพูดเผยความจริงใจจากใจจริง
หลินสวินพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
และยามนี้เหลิ่งชิงเสวี่ยเองก็จ้องหลินสวินด้วยดวงตาใสกระจ่างคู่นั้น สีหน้าเคร่งขรึมจริงจังเอ่ยว่า “พี่หลิน ข้าพูดถึงเรื่องสมมติ สมมติว่าหากเกิดอะไรขึ้นกับท่าน ภายหน้าข้าจะต้องแก้แค้นให้ท่าน!”
ส่วนเสี่ยวซีที่อยู่ข้างๆ เงยหน้าขึ้น จ้องหลินสวินด้วยดวงตาที่น้ำตาคลอเบ้า กล่าวว่า “พี่เต้ายวน ภายน้าท่านจะกลับมาเยี่ยมพวกเราหรือไม่”
หลินสวินยีศีรษะเล็กของนางแล้วเอ่ยว่า “แน่นอน”
“พูดแล้วไม่คืนคำ” เสี่ยวซียื่นมือออกไป
“พูดแล้วไม่คืนคำ” หลินสวินกุมมือหยกของนาง ตอบอย่างจริงจัง
และในวันนั้นหลินสวินจากไปอย่างเงียบๆ
……
หลินสวินไม่ได้เร่งรีบมุ่งหน้าไปยังน่านฟ้าที่หก
อันที่จริงต่อให้เขาอยากจะรีบไปแก้แค้นตระกูลลั่ว แต่ด้วยพลังต่อสู้ของเขาในตอนนี้ บางทีอาจจะสามารถกำราบผู้ฝึกปราณส่วนใหญ่ของตระกูลลั่วได้ แต่ถ้าเจอระดับอมตะที่ร้ายกาจก็อันตรายแล้ว
ยิ่งไปกว่านั้น รอมานานขนาดนี้แล้ว ไม่จำเป็นต้องรีบ
ในช่วงเวลาหลังจากนั้นหลินสวินก้าวเดินในน่านฟ้าที่ห้าอย่างผ่อนคลาย อิสระดุจเมฆลอย บางครั้งฝึกปราณในป่า บางคราวเดินเล่นในเมือง
มีเพียงอาณาเขตที่สำนักศึกษาควันวายุยึดครองที่ไม่เคยเข้าใกล้
เวลาสองสามเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว
วันนี้เอง
บนผิวทะเลฟ้าคราม เรือลำหนึ่งลอยอยู่ด้านบน ปล่อยให้คลื่นทะเลซัดพา มุ่งหน้าไปยังส่วนลึกของมหาสมุทร
หลินสวินนั่งขัดสมาธิอยู่บนนั้น ในมือถือกล่องสำริด สีหน้าตื่นเต้นอย่างยากจะเห็น
หลายปีก่อนยามอยู่ตระกูลเสวียน ผู้นำตระกูลเสวียนเสวียนซั่งเฉินมอบกล่องสำริดนี้ให้เขา ทั้งบอกว่าลู่ป๋อหยาเป็นคนทิ้งเอาไว้ ภายในกล่องสำริดมีเบาะแสที่เกี่ยวข้องกับลั่วชิงสวินมารดาของหลินสวิน
หากภายในร้อยปีหลินสวินไม่สามารถสลายผนึกบนกล่องสำริดได้ ก็จะต้องทำลายมันซะ!
ทว่าสถานการณ์เช่นนี้ถูกกำหนดให้ไม่มีทางเกิดขึ้นแล้ว
เพราะในวันนี้ หลังผ่านการอนุมานและแก้ผนึกมาหลายปี ประทับเป็นชั้นๆ ที่ปกคลุมอยู่บนกล่องสำริดถูกหลินสวินแก้อกจนหมดสิ้นแล้ว
เพียงแต่ตอนที่กำลังจะเปิดกล่องสำริดนี้ออกจริงๆ หลินสวินกลับลังเลเล็กน้อย ในใจผุดอารมณ์ตึงเครียดที่ไม่สามารถอธิบายได้
ความลับที่ซ่อนอยู่ในกล่องสำริดนี้ แม้เกี่ยวข้องกับลั่วชิงสวินมารดาของเขา ทว่าตั้งแต่เล็กจนโตเขาไม่เคยเจอลั่วชิงสวินแม้แต่ครั้งเดียว!
เขาเคยคิดเช่นกันว่าในวันที่ได้เจอบิดามารดาควรจะพูดอะไร และเคยนึกถึงภาพหลากหลายยามพบเจอกันในสมอง
แต่สุดท้ายก็เป็นเพียงแค่จินตนาการของเขา
แต่ยามนี้ เมื่อถึงเวลาเปิดกล่องสำริดนี้เข้าจริงๆ เขากลับตึงเครียดขึ้นมา…
ความตึงเครียดนี้ละเอียดอ่อนมาก มีทั้งความตื่นเต้นและความกังวล และเป็นรสชาติที่หลินสวินไม่เคยสัมผัสมาก่อน
ว่ากันถึงที่สุด ตั้งแต่เล็กจนโตเขาคุ้นชินกับการอยู่ตัวคนเดียวแล้ว ส่วนเรื่องบิดามารดา เรื่องครอบครัว อย่างไรก็ยังไม่เคยสัมผัส ถึงได้รู้สึกรางเลือนและแปลกหน้าอย่างเห็นได้ชัด
ผ่านไปเนิ่นนานหลินสวินถึงสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่ง ในดวงตาวาบประกายแน่วแน่มั่นคง
วู้ม!
เมื่อปลายนิ้วของหลินสวินขยับเบาๆ กล่องสำริดที่ปิดผนึกมาเนิ่นนานก็ค่อยๆ เปิดออกเบื้องหน้าสายตาหลินสวิน
ในกล่องสำริดมีปิ่นไม้ที่ดูแล้วธรรมดายิ่งยวดชิ้นหนึ่ง ดูออกว่าเป็นเครื่องประดับของสตรี ราบเรียบแฝงนัย
บนปิ่นไม้สลักคำว่า ‘ชิงสวิน’ เอาไว้สองคำ
หลินสวินอึ้งไป ในใจพลันสั่นขึ้นมาเบาๆ อย่างห้ามไม่อยู่ ปิ่นไม้นี้ต้องเป็นสิ่งที่มารดาตนลั่วชิงสวินทิ้งเอาไว้แน่
เขายื่นนิ้วออกไปค่อยๆ เข้าใกล้ปิ่นไม้นั้น ราวกับกำลังปฏิบัติต่อของล้ำค่าที่สุดในโลก กลัวแต่ว่าจะทำมันเสียหาย
พริบตาที่ปลายนิ้วสัมผัสกับปิ่นไม้ สายเลือดในตัวเขาก็เหมือนถูกปลุกตื่นจากพลังอันเงียบงัน เกิดการร้องรับกับกลิ่นอายของปิ่นไม้
ฉับพลันนั้น
ละอองแสงสีเขียวที่ราวกับฝันมายาแถบหนึ่งพลันปลิวกระจายออกมาจากปิ่นไม้ ก่อนควบรวมเป็นเงาร่างแบบบางอรชรสายหนึ่งช้าๆ
ชุดกระโปรงเขียว ผมดำเงางาม บนใบหน้าขาวกระจ่างงดงามเผยรอยยิ้มเสี้ยวหนึ่ง
แววตาของนางเปล่งประกาย เจือความตื่นเต้นยินดีที่ยากปกปิด ทันทีที่ปรากฏตัวสายตาก็ตกลงบนร่างหลินสวิน และในแววตาของนางก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเหม่อลอยเหมือนกับอึ้งตะลึง
ขณะเดียวกันหลินสวินเพียงรู้สึกว่าสมองเหมือนถูกฟ้าผ่า ขาวโพลนไปทั้งแถบ
เขาเคยคิดมานานแล้วว่าในกล่องสำริดผนึกอะไรไว้กันแน่ เป็นของคู่กายหรือ หรือจะเป็นเบาะแสที่บอกร่องรอยของลั่วชิงสวินมารดาตน
แต่กลับไม่เคยคิดเลยว่าเมื่อเปิดออกมาจะได้พบกับภาพเช่นนี้!
เขามีหรือจะไม่รู้ นี่ก็คือลั่วชิงสวิน มารดาที่เขาคิดถึงมานับครั้งไม่ถ้วนตั้งแต่เด็กจนถึงตอนนี้
…………………………