ลั่วชิงสวินสงบจิตใจ เล่าเรื่องราวหลังจากฟื้นขึ้นมา

ตอนนั้นหลังจากนางได้สติขึ้นมาในจักรวรรดิจื่อเย่า กลับปรากฏสภาวะความจำเสื่อมระยะสั้น ลู่ป๋อหยาที่ปกป้องอยู่เคียงข้างนางเงียบๆ มาโดยตลอดตอนนั้นไม่ได้บอกความจริงกับนาง

เพราะทางเดินโบราณฟ้าดาราในตอนนั้นยังคงถูกพลังระเบียบของจอมจักรพรรดิไร้นามปกคลุม เขากังวลว่าหลังจากลั่วชิงสวินรู้ว่าพี่ชายของนางลั่วชิงเหิงก็หายตัวไป จะรับความกระทบกระเทือนเช่นนี้ไม่ไหวและทำเรื่องอันตรายอะไร

ดังนั้นลั่วชิงสวินที่อยู่ในสภาวะความจำเสื่อมจึงไม่รู้เรื่องในอดีตสักนิด กลายเป็นเหมือนผู้หญิงที่ยังด้อยประสบการณ์ เข้าร่วมการทดสอบครั้งแล้วครั้งเล่าของจักรวรรดิจื่อเย่า เข้าสู่สำนักศึกษามฤคมรกตด้วยฐานะอันดับหนึ่ง

และก็เป็นตอนนั้นเองที่ได้รู้จักกับหลินเหวินจิ้ง บุตรชายสายตรงตระกูลหลิน ทั้งตกหลุมรักกันอย่างรวดเร็ว

ยามลู่ป๋อหยารู้เรื่องพวกนี้ก็ช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว ไม่สามารถห้ามทั้งสองไม่ให้อยู่ด้วยกันได้อีก

หลังจากนั้นลั่วชิงสวินก็แต่งให้หลินเหวินจิ้ง และให้กำเนิดหลินสวินในปีถัดมา

ทว่าไม่นานคดีนองเลือดตระกูลหลินก็ปะทุขึ้นกะทันหัน

ฟังถึงตรงนี้ในใจหลินสวินพลิกม้วน ถอนหายใจยาวอย่างควบคุมไม่อยู่

สีหน้าของลั่วชิงสวินเองก็เผยความอึมครึม

ครู่ใหญ่นางถึงตั้งสติได้ เอ่ยว่า “เรื่องตอนนั้นเจ้าน่าจะรู้แล้ว เจ้า… ยังมีอะไรสงสัยอีกหรือไม่”

หลินสวินโพล่งออกมา “ตอนนั้นท่านกับท่านพ่อไปที่ไหนหรือ”

“แหล่งสถานศุภโชค”

ลั่วชิงสวินกล่าวทันที

เดิมทีตอนนั้นนางใช้กระบี่ศุภโชคสลายพลังระเบียบต้องห้ามที่จอมจักรพรรดิไร้นามควบคุม หลังจากส่งตัวลู่ป๋อหยาและหลินสวินที่อยู่ในผ้าอ้อมไป เดิมทีคิดว่าจะต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัย ใครจะคิดว่ากลับกระตุ้นพลังของกระบี่ศุภโชคโดยไม่ได้ตั้งใจ และถูกส่งไปยังแหล่งสถานศุภโชคในทันที

พูดถึงกระบี่ศุภโชค เป็นหนึ่งในสมบัติชั้นยอดที่ลั่วทงเทียนทิ้งไว้ในตระกูลเมื่อนานมาแล้ว ก่อนลั่วเซียวจะหายตัวไปอย่างน่าประหลาด ก็ได้มอบให้ลั่วชิงสวินดูแลแล้ว

“แหล่งสถานศุภโชคนั่นลึกลับหาใดเปรียบ เต็มไปด้วยวาสนาและศุภโชคที่ยากจะจินตนาการ แต่ที่จนปัญญาคือ เข้าไปง่ายแต่ออกไปยาก จนกระทั่งตอนนี้ข้ากับพ่อเจ้าก็ยังคงถูกขังอยู่ภายในนั้น”

สีหน้าของลั่วชิงสวินเผยความจนใจ

หลินสวินไม่ได้แปลกใจ เพราะเขาดูออกแต่แรกแล้ว ว่าลั่วชิงสวินที่อยู่ตรงหน้าเป็นเพียงพลังเจตจำนง ไม่ใช่ร่างที่แท้จริงของนาง

“โชคดีที่ฟ้ายังเหลือทางรอด เมื่อหลายปีก่อนข้าพบผู้ฝึกปราณลึกลับคนหนึ่งในแหล่งสถานศุภโชคโดยบังเอิญ เพราะความช่วยเหลือจากเขา ถึงได้นำกล่องสำริดที่มีพลังเจตจำนงของข้าชิ้นนี้ออกจากแหล่งสถานศุภโชคมอบให้กับท่านลู่”

พูดถึงตรงนี้ลั่วชิงสวินเผยรอยยิ้มออกมา “ก็เพราะเช่นนี้ จึงทำให้ในที่สุดพวกเราแม่ลูกมีโอกาสพบกัน แม้เป็นเพียงพลังเจตจำนง แต่ก็สามารถกลายเป็นความทรงจำช่วงหนึ่ง หากวันหนึ่งพวกเราแม่ลูกได้กลับมาอยู่ด้วยกันอย่างแท้จริง ร่างเดิมของข้าก็จะได้รับความทรงจำช่วงนี้ในทันที”

ในใจหลินสวินก็ดีใจเช่นกัน ยังดีที่เป็นเช่นนี้ ไม่เช่นนั้นเขาไม่กล้าจินตนาการจริงๆ ว่าเมื่อไหร่จะได้เจอมารดาของตน

ทันใดนั้นเขานึกคำถามหนึ่งขึ้นได้ “ท่านแม่ ท่านรู้หรือไม่ว่าผู้ฝึกปราณลึกลับคนนั้นเป็นใคร เหตุใดตอนนั้นจึงไม่ขอให้เขาพาท่านและท่านพ่อไปจากแหล่งสถานศุภโชคด้วยกัน”

ลั่วชิงสวินกล่าว “ไม่ได้หรอก ตอนนั้นข้ากับพ่อเจ้าถูกขังในแดนลับที่แปลงจากเขตแดนกาลเวลาแห่งหนึ่ง แม้สหายยุทธ์ลึกลับคนนั้นจะช่วยก็ทำอะไรไม่ได้ สุดท้ายยังต้องเสียค่าตอบแทนมหาศาลถึงส่งกล่องสำริดนี้ออกมาได้”

หลินสวินกระจ่างในทันที กล่าวว่า “พูดเช่นนี้ผู้ฝึกปราณลึกลับคนนั้นก็เป็นผู้มีพระคุณของพวกเราแล้ว จริงสิ ท่านแม่รู้หรือไม่ว่าอีกฝ่ายชื่ออะไร”

ลั่วชิงสวินครุ่นคิด “เขาเรียกตัวเองว่า ‘คนแซ่เฉิน’ คงจะสกุลเฉิน’”

เฉิน!

ในใจหลินสวินสะท้านไหว หรือจะเป็นเขา

ในหัวปรากฏเงาร่างของเซียนผลาญเฉินหลินคงอย่างไม่อาจควบคุม

ก่อนหน้านี้หลินสวินยังไม่เคยใส่ใจว่าเฉินหลินคงมีความลึกลับขนาดไหน แต่จนกระทั่งรู้ว่าเฉินหลินคงเคยให้ความช่วยเหลือซย่าจื้อในแดนมรณะเสื่อมโทรมพร้อมกับจักจั่นทอง และเคยมองพลังกฎเกณฑ์โชคชะตาในร่างซย่าจื้อออก เขาก็รู้แล้วว่าเฉินหลินคงไม่ใช่ผู้มีความสามารถทั่วไป

อันที่จริงแค่คิดก็รู้แล้ว จักจั่นทองเคยถูกเจ้าแห่งคีรีดวงกมลวิจารณ์ว่า ‘มรรคสูงล้ำฟ้า’ และเฉินหลินคงก็สามารถผูกมิตรร่วมเดินทางกับจักจั่นทองได้ คนระดับนี้จะธรรมดาได้อย่างไร

“จากที่ข้าเดา เขานั่นแหละที่หาท่านลู่จนเจอ ถึงทำให้กล่องสำริดนี้ตกอยู่ในมือของเจ้าได้ จะว่าไปเขาก็เป็นผู้มีพระคุณของพวกเราจริงๆ” ลั่วชิงสวินกล่าว

หลินสวินอึ้งไปครู่หนึ่ง จู่ๆ ก็เอ่ยว่า “ท่านลู่เล่า ในเมื่อเขายังมีชีวิตอยู่ เหตุใดไม่มาพบข้าโดยตรง กลับฝากกล่องสำริดนี้ไว้กับตระกูลเสวียน ให้ตระกูลเสวียนมอบให้ข้า”

ลั่วชิงสวินกล่าว “เขากังวลว่าหลังจากเจ้ารู้ความจริงในตอนนั้นแล้วจะทำเรื่องเสี่ยงเหมือนลุงของเจ้า”

“และกำหนดเวลาหนึ่งร้อยปีก็ไม่ใช่การทดสอบ แต่เพราะภายในหนึ่งร้อยปี หากเจ้าไม่สามารถสลายพลังผนึกบนกล่องสำริดได้ ก็หมายความว่าเจ้ายังไม่มีพลังมากพอจะเผชิญกับความจริงนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ การไม่รู้ความจริงจึงจะเป็นการปกป้องที่ดีที่สุดสำหรับเจ้า”

“อย่างน้อยเจ้าก็ไม่ต้องทำเรื่องที่ทำให้ข้าและท่านลู่เป็นห่วง อย่างเช่น… ไปแก้แค้นตระกูลลั่ว”

หลินสวินขมวดคิ้ว “ต่อให้เป็นเช่นนี้ เหตุใดท่านลู่กลับไม่ยอมพบข้า”

เขาไม่เข้าใจยิ่ง

ลั่วชิงสวินเอ่ย “ไม่ใช่ว่าเขาไม่อยากเจอเจ้า แต่เพราะเคยได้รับคำแนะนำจากเจ้าแห่งคีรีดวงกมลว่าอย่าแทรกแซงเรื่องของเจ้า ไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อมรรคาของเจ้า”

ในใจหลินสวินสั่นสะท้าน “ท่านลู่เคยเจออาจารย์ข้าหรือ”

“คงจะเป็นเช่นนั้น” ลั่วชิงสวินกล่าว

หลังเงียบไปครู่ใหญ่หลินสวินถึงเอ่ยว่า “ท่านแม่ เล่าเรื่องของท่านลู่ให้ข้าฟังหน่อยได้หรือไม่”

ลั่วชิงสวินพยักหน้า สีหน้าแฝงความหวนระลึก “ตอนข้ายังเด็กมาก ท่านลู่ก็อยู่เคียงข้างข้าแล้ว…”

ที่แท้เมื่อนานมาแล้ว หลังจากลั่วทงเทียนเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ออกท่องโลกครั้งแรก ก็ได้พาลู่ป๋อหยากลับตระกูล และนับแต่นั้นมาลู่ป๋อหยาก็กลายเป็นคนที่ประหนึ่งผู้พิทักษ์ของตระกูลลั่วสายตรง

เขาเคยเดินทางไปทั่วพร้อมกับลั่วทงเทียน พิชิตทั่วหล้า และเฝ้าดูลั่วเซียวบิดาของลั่วชิงสวินเติบโต และปกป้องคุ้มครองอยู่ข้างกายลั่วชิงสวินมาไม่รู้นานเท่าไหร่

ในตระกูลลั่ว นอกจากลั่วทงเทียนก็ไม่มีใครรู้ที่มาของเขา

ก็เป็นในภายหลังที่ลั่วชิงสวินได้รู้ความจริงบางส่วนจากปากลู่ป๋อหยา

ลู่ป๋อหยาไม่ใช่คนยุคนี้!

เขาเป็นผู้สืบทอดสำนักมรรคยันต์ที่เก่าแก่หาใดเปรียบของยุคก่อน ในตอนที่ยุคสมัยดับสิ้น เพราะการเปลี่ยนแปลงครั้งหนึ่งทำให้ประสบเคราะห์มรรคห้าเสื่อม เกือบจะกายสิ้นมรรคสลาย

ต่อให้โชคดีรอดจากยุคก่อน แต่ก็เหลือเพียงเสี้ยววิญญาณกลุ่มหนึ่ง ถูกขังอยู่ในแดนผนึกแห่งหนึ่งที่อันตรายหาใดเปรียบ

เพราะเจ้าแห่งมรรคาสวรรค์ลั่วทงเทียนบุกเข้าไปในแดนผนึกแห่งนั้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ถึงช่วยเสี้ยววิญญาณนี้ของลู่ป๋อหยาเอาไว้ได้ และสร้างกายมรรคให้เขาใหม่ นี่เท่ากับบุญคุณแห่งการถือกำเนิดใหม่อย่างแท้จริง

และตั้งแต่ตอนนั้นเป็นต้นมา ลู่ป๋อหยาก็กลายเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลลั่ว

เมื่อได้รู้เรื่องเหล่านี้หลินสวินอดสูดหายใจสะท้านไม่ได้ นึกถึงมารเทพตี้สือ และนึกถึงวิญญาณระเบียบอู๋ซวงที่ประสบเคราะห์มรรคห้าเสื่อมเช่นเดียวกัน!

“ที่แท้ท่านลู่ถึงกับเป็นผู้แข็งแกร่งของยุคก่อน…” เขาพึมพำ รู้สึกประหลาดใจมาก และเหลือเชื่อมาก

“เช่นนั้นตอนนี้ท่านลู่อยู่ที่ไหน”

หลินสวินอดถามไม่ได้

ลั่วชิงสวินกลล่าว “นี่ก็คือสิ่งที่ข้าจะบอกเจ้าหลังจากนี้ หลายปีมานี้ท่านลู่สืบข่าวของท่านตาลั่วเซียวและท่านลุงลั่วชิงเหิงของเจ้ามาโดยตลอด หากไม่มีอะไรผิดคาด ตอนนี้เขาคงจะอยู่ในน่านฟ้าที่หก”

หลินสวินตาเป็นประกาย “น่านฟ้าที่หกหรือ ก็หมายความว่าอีกไม่นานข้าก็จะได้เจอท่านลู่แล้วหรือ”

ลั่วชิงสวินเอ่ยทอดถอนใจ “วันแรกที่ท่านลู่เข้าสู่ตระกูลลั่วก็เคยสาบาน ว่าชาตินี้ชีวิตนี้จะไม่แตะต้องตระกูลลั่วแม้แต่น้อย ยิ่งไม่แทรกแซงเรื่องของตระกูลลั่ว นี่คือเส้นกั้นที่เขายึดมั่น และเป็นคำมั่นสัญญาที่มีต่อท่านปู่ลั่วทงเทียน ไม่เช่นนั้นด้วยพลังที่ท่านลู่มี ตอนนั้นลั่วฉงย่อมไม่สามารถครอบครองตระกูลลั่ว ช่วงชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลไปได้!”

หลินสวินฟังจบก็ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรไปชั่วขณะ

บอกว่าท่านลู่คร่ำครึหรือ

ทว่าตอนนั้นหากไม่มีเขาช่วย มารดากับท่านลุงคงไม่สามารถหนีรอดจากตระกูลลั่วได้

อีกทั้งยามตนยังแบเบาะก็ถูกท่านลู่ช่วยเอาไว้ แม้แต่มรดกวิชาสลักวิญญาณ ล้วนมาจากการถ่ายทอดของท่านลู่!

“ข้าเล่าเรื่องพวกนี้ให้เจ้าฟัง ไม่ใช่การกล่าวโทษ แต่เป็นการบอกเจ้าว่าต่อให้มุ่งหน้าไปยังน่านฟ้าที่หก เจ้าก็อย่าได้แตะต้องเส้นกั้นนั้นของท่านลู่” ลั่วชิงสวินเตือนอย่างจริงจัง

หลินสวินพยักหน้า “ข้าเข้าใจ”

ลั่วชิงสวินกล่าว “ตอนนี้เจ้าเปิดกล่องสำริดได้แล้ว เรื่องบางส่วนก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องปิดบังเจ้า ตอนนั้นข้าเคยสัญญากับท่านลู่ ว่าขอเพียงแค่เจ้าเปิดกล่องสำริดได้ภายในร้อยปีก็จะมอบกระบี่ศุภโชคให้เจ้า เช่นนี้ต่อไปเจ้าก็มีโอกาสมุ่งหน้าไปยังแหล่งสถานศุภโชคแล้ว”

กระบี่ศุภโชค!

ในใจหลินสวินคึกคักขึ้นมา เกิดความตื่นเต้นที่บอกไม่ถูก นี่หมายความว่าตนมีความเป็นไปได้ที่จะไปเจอบิดามารดาแล้ว!

เพียงแต่จากนั้นลั่วชิงสวินก็พูดว่า “แต่ข้าแนะนำว่าตอนนี้เจ้าอย่าเพิ่งไปแหล่งสถานศุภโชค แม้ข้าและพ่อของเจ้าถูกขังในนั้น แต่ชีวิตก็ไร้กังวล อีกอย่างด้วยมรรควิถีในตอนนี้ของเจ้า ต่อให้เข้าสู่แหล่งสถานศุภโชคก็ไม่สามารถเจอพวกเราได้”

“กลับเป็นท่านลุงและท่านตาของเจ้าต่างหากที่ข้าเป็นห่วงที่สุด เพราะฉะนั้นข้าอยาก…”

นางพูดไม่ออกนัก

เพิ่งจะเจอหน้าลูกครั้งแรกก็จะให้เขาไปทำธุระให้แล้ว นี่ทำให้ลั่วชิงสวินละอายใจอยู่บ้าง

หลินสวินกลับยิ้มพูด “ท่านแม่ ข้าตัดสินใจจะไปน่านฟ้าที่หกตั้งแต่แรกแล้ว ก่อนจะไปแหล่งสถานศุภโชค จะต้องไปพบท่านลู่ก่อนให้ได้ และทำความเข้าใจเรื่องของท่านลุงและท่านตา หากจำเป็น ข้าจะไปตระกูลลั่วสักเที่ยว เรื่องที่ท่านลู่ไม่สามารถแทรกแซงได้ ข้าจะจัดการเอง!”

ประกายเย็นเยียบวาบผ่านดวงตาเขา

“สวินเอ๋อร์ เจ้าอย่าได้วู่วาม”

ลั่วชิงสวินกังวลอยู่บ้าง กล่าวว่า “ด้วยมรรควิถีของเจ้าในตอนนี้ย่อมไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเฒ่าชราตระกูลลั่วเหล่านั้น ต่อให้ตระกูลลั่วจะตกต่ำแค่ไหน รากฐานที่มีก็ไม่ใช่สิ่งที่เผ่าจักรพรรดิอมตะทั่วไปจะเทียบได้ เจ้า…”

หลินสวินยิ้มพูด “ข้าเข้าใจ ท่านแม่ ข้าไม่ใช่เด็กแล้ว จะไม่วู่วามอย่างที่ท่านพูดหรอก”

ลั่วชิงสวินอึ้งไป คล้ายเกิดความสะเทือนอารมณ์ยิ่งยวด พูดเสียงเบา “เจ้าน่ะไม่เข้าใจหรอก ในใจมารดาทุกคน ต่อให้ลูกจะโตแค่ไหน มีความสามารถเพียงใด แต่ก็ยังเป็นเด็กที่ต้องคอยตักเตือนและเป็นห่วงอยู่เสมอ…”

——