ในสายตาของบิดามารดา ลูกจะอายุมากแค่ไหน ประสบความสำเร็จสูงเพียงใด แต่ก็ยังเป็นลูกของพวกเขา มักมีคำเตือนไม่รู้จบ เป็นห่วงไม่รู้สิ้น

ในสายตาของลั่วชิงสวินตอนนี้ก็เป็นเช่นนี้

ทำให้หลินสวินสะท้านสะเทือนใจเช่นกัน ครู่ใหญ่ถึงเอ่ยว่า “ท่านแม่วางใจเถอะ ข้าไม่ทำเรื่องอะไรที่ไม่มั่นใจ”

ลั่วชิงสวินยิ้ม เพิ่งหมายจะพูดอะไรบางอย่างเงาร่างของนางพลันสั่นไหว เงาแสงไหลเคลื่อนกลายเป็นภาพมายา เหมือนสามารถหายไปได้ตลอดเวลาอย่างไรอย่างนั้น

ในใจหลินสวินบีบรัด ตระหนักได้ว่าพลังเจตจำนงของลั่วชิงสวินกำลังจะสลายแล้ว

“สวินเอ๋อร์ กระบี่ศุภโชคอยู่ในปิ่นไม้นั่น เจ้าเอามันออกมา หากเจอเรื่องเป็นตายอะไรให้กระตุ้นกระบี่เต็มกำลัง ก็จะสามารถไปยังแหล่งสถานศุภโชคได้ จำไว้ว่าอย่าทำอะไรวู่วาม…”

ลั่วชิงสวินพูดอย่างรวดเร็ว เพียงแต่คำพูดยังก้องสะท้อนอยู่ เงาร่างของนางกลับกลายเป็นความว่างเปล่า หายไปในห้วงอากาศแล้ว

สี่ทิศเวิ้งว้าง มีเพียงมหาสมุทรซัดคลื่น ฟ้าสูงกว้างใหญ่

ในใจหลินสวินรู้สึกเสียใจอย่างไม่ทราบสาเหตุ อึ้งไปครู่หนึ่ง จากนั้นอดถอนหายใจยาวไม่ได้

เจอกันครั้งนี้ อย่างไรก็ยังสั้นเกินไป

ในใจเขามีความสงสัยมากมายที่ยังไม่ได้ถาม แต่ตอนนี้ทำได้เพียงซ่อนไว้ในส่วนลึกของหัวใจ

“ท่านแม่ ข้าจะต้องไปหาพวกท่านที่แหล่งสถานศุภโชคให้ได้…”

หลินสวินพึมพำ สายตาเคลื่อนไปหยุดที่กล่องสำริด ปิ่นไม้เรียบง่ายวางอยู่ในนั้นเงียบๆ

เขายื่นมือไปหยิบปิ่นไม้ออกมา กลับพบว่าปิ่นไม้หนักอึ้ง หนักเหมือนถือภูเขาใหญ่อย่างไรอย่างนั้น

หลินสวินพินิจกูคร่าวๆ ก็รู้ว่าปิ่นไม้นี้เป็นสมบัติห้วงอากาศชิ้นหนึ่ง เมื่อแทรกจิตรับรู้เข้าไปก็เห็นว่ามีกระบี่เล่มหนึ่งลอยอยู่ภายใน

กระบี่ยาวสองฉื่อสามชุ่น กว้างไม่เกินสองนิ้วมือ คมกระบี่เรียบง่ายไม่หรูหรา ตัวกระบี่กลับประหนึ่งโปร่งแสง สะท้อนเงาแสงงดงามหลากสีออกมาเป็นระยะๆ เหมือนลำแสงที่กะพริบหายไป

กระบี่ศุภโชค!

กระบี่นี้เคยทลายพลังระเบียบต้องห้ามที่จอมจักรพรรดิไร้นามครอบครองให้ลั่วชิงสวิน มีอานุภาพลึกลับไม่อาจคาดเดา

ทว่าที่สำคัญกว่าคือ กระบี่นี้เป็นกุญแจเชื่อมสู่แหล่งสถานศุภโชค!

หลินสวินพินิจอยู่ครู่หนึ่งแล้วเก็บปิ่นไม้อย่างระมัดระวัง จากนั้นถอนหายใจยาว เท้าเหยียบกระทุ้งเรือให้เคลื่อนไปในทะเลคราม

การพานพยมารดาคราวนี้คลี่คลายความสงสัยมากมายในใจหลินสวิน แต่ก็ทำให้เกิดข้อสงสัยหลายอย่างด้วยเช่นกัน

อย่างเช่น ในเมื่อท่านลู่แข็งแกร่งขนาดนั้น เหตุใด… ยามอยู่โลกชั้นล่างกลับบาดเจ็บสาหัสภายใต้การตามฆ่าของเหยี่ยนซิง

ควรรู้ว่าเหยี่ยนซิงเป็นแค่ระดับบรรพจารย์จักรพรรดิคนหนึ่งเท่านั้น

อีกทั้งโลกชั้นล่างในตอนนั้น ต่อให้ระเบียบฟ้าดินน่ากลัวอย่างที่สุด กดข่มจนบุคคลน่าสะพรึงอย่างเฒ่าโดดเดี่ยวหรือราชครูยังทำได้เพียงจำศีลอยู่ที่นั่น ทว่าพลังของเหยี่ยนซิงก็ถูกจำกัดด้วยเช่นกัน

ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ท่านลู่กลับถูกตามล่าจนบาดเจ็บสาหัส นี่น่าแปลกมาก

‘รอตอนเจอท่านลู่ บางทีอาจจะได้รู้คำตอบ…’

บนทะเลครามเวิ้งว้าง หลินสวินควบคุมเรือและหายลับไปอย่างรวดเร็ว

……

บนห้วงอากาศสูงเก้าหมื่นจั้ง

ในฟ้าดาราที่ไพศาลและเก่าแก่ ดวงดาวนับไม่ถ้วนร้อยเรียง กลายเป็นเส้นทางดาราเขตแดนที่ลึกลับสายหนึ่ง

ใกล้ๆ เส้นทางดาราเขตแดนสายนี้ ยามนี้มีเงาร่างน่ากลัวไม่รู้เท่าไหร่ซ่อนตัวอยู่

เพียงแค่ระดับอมตะก็มีสิบกว่าคนแล้ว!

เหล่านี้ล้วนเป็นผู้ฝึกปราณที่มาจากขุมอำนาจศัตรูของหลินสวิน ตอนนี้รวมตัวกัน วางกำลังเย้ยฟ้า แน่นอนว่าเพื่อสังหารหลินสวิน!

“ห่างจากตอนที่หลินสวินหายไปในน่านฟ้าที่สี่ครึ่งปีแล้ว จากการกระทำที่ผ่านมาของเขาควรจะเปิดเผยร่องรอยนานแล้ว แต่ตอนนี้กลับไม่มีข่าวคราวเลยสักนิด นี่แปลกเกินไปแล้ว”

เสียงที่อ่อนเยาว์เสียงหนึ่งดังขึ้น คนพูดคือระดับอมตะคนหนึ่ง รูปลักษณเหมือนเด็กอายุแปดเก้าขวบ บริสุทธิ์ไร้เดียงสา แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยกลิ่นอายโชกโชน

คนไม่น้อยได้ยินเสียงนี้แล้วต่างตัวสั่นระริก

หนานหยวนชิง!

ระดับอมตะคนหนึ่งของตระกูลหนานแห่งสี่ตระกูลตงหวง

ขณะเดียวกันเขายังเป็นหนึ่งในระดับอมตะที่อานุภาพสูงสุดในที่นี้ด้วย

“ทางสำนักศึกษาควันวายุเองก็ไม่มีความเคลื่อนไหวมาโดยตลอด ข้าว่าเจ้าหมอนั่นคงรับรู้ได้ถึงอันตราย จึงไม่กล้าเผยร่องรอยอีก”

อีกบริเวณหนึ่งกลิ่นอายแรกกำเนิดอบอวล เงาร่างหญิงชุดดำคนหนึ่งเลือนราง เย็นเยียบน่ากลัว

นี่ก็เป็นระดับอมตะคนหนึ่งเช่นกัน นามว่าชวีอู๋เยี่ยน มาจากตระกูลชวีหนึ่งในสี่ตระกูลตงหวง

ได้ยินเช่นนี้บรรยากาศเงียบกริบ เหล่าผู้กล้าที่ซุ่มอยู่รอบๆ เกิดความรู้สึกไร้เรี่ยวแรงที่พูดไม่ออก

ระดมกำลังเผ่าจักรพรรดิอมตะมากมายขนาดนี้ ก็ทำอะไรผู้สืบทอดคีรีดวงกมลคนหนึ่งไม่ได้หรือ

ครึ่งปีแล้ว!

ผู้แข็งแกร่งอย่างพวกเขา ใครบ้างไม่ใช่คนชั้นสูงของเผ่าจักรพรรดิอมตะแต่ละตระกูล

แต่ตอนนี้เพียงเพื่อฆ่าศัตรูคนเดียวกัน กลับต้องอดทนอยู่ที่นี่ รอคอยอย่างใจเย็น ความรู้สึกเช่นนี้ทรมานเกินไปอย่างไม่ต้องสงสัย

“หากเจ้าหมอนั่นไม่ปรากฏตัวเสียที พวกเราจะเสียเวลารออยู่ที่นี่ตลอดไปหรือ”

มีคนอดถามไม่ได้

ไม่มีคนตอบ

สีหน้าของระดับอมตะอย่างพวกหนานหยวนชิง ชวีอู๋เยี่ยนปรากฏความอึมครึม

หากสามารถจับร่องรอยของหลินสวินได้ ใครจะยอมรออยู่ที่นี่เล่า

“หากตระกูลตงหวงยอมใช้พลังแห่ง ‘คันฉ่องเทพไร้มลทิน’ ช่วย แค่กวาดดูเบาๆ ก็สามารถจับร่องรอยของเจ้าหมอนั่นได้ในชั่วพริบตา!”

น้ำเสียงของหนานหยวนชิงเหลืออด “น่าเสียดาย สมบัตินี้เป็นสมบัติพิทักษ์ตระกูลของตระกูลตงหวง ย่อมไม่นำออกจากน่านฟ้าที่แปดง่ายๆ…”

คันฉ่องเทพไร้มลทิน!

สมบัติวิเศษที่อัศจรรย์เหลือเชื่อชิ้นหนึ่ง ลือกันว่าคันฉ่องนี้สามารถมองทะลุคนและเรื่องราวทุกอย่างที่อยากเห็น

“ตอนนี้พูดเรื่องพวกนี้ไปก็ไม่มีประโยชน์ สิ่งที่มั่นใจได้คือเจ้าหมอนี่อยู่ในน่านฟ้าที่ห้าแน่ แต่ร่องรอยของเขาเลือนราง วิธีค้นหาทั่วไปล้วนใช้ไม่ได้แล้ว แผนการตอนนี้นอกจากรอก็ไม่มีวิธีไหนดีกว่าอีกแล้ว”

ชวีอู๋เยี่ยนสูดหายใจลึกคราหนึ่ง เอ่ยว่า “ถึงขั้นที่ข้าสงสัยว่าเจ้าหมอนั่นรู้ถึงกองกำลังที่พวกเราวางไว้แล้ว เห็นชัดว่าคิดจะถ่วงเวลากับพวกเราต่อไปเรื่อยๆ หรือก็คือการต่อสู้ครั้งนี้ สิ่งที่สู้กันคือใครจะอดทนได้นานกว่า!”

ในใจทุกคนยิ่งหงุดหงิด

จะถ่วงเวลาต่อไปเช่นนี้หรือ

เช่นนั้นต้องใช้เวลาอีกเท่าไหร่ และใครจะมีเวลามาเสียมากขนาดนั้นกัน

“เหลืออีกแค่เก้าปีครึ่งก็จะครบเวลาสิบปีที่หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดจะคัดเลือกผู้สืบทอดแล้ว ข้าไม่มีเวลามารออยู่ที่นี่มากขนาดนั้น”

หนานหยวนชิงขมวดคิ้วกล่าว

หอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดรับผู้สืบทอด นั่นเป็นเรื่องใหญ่แค่ไหน ในฐานะระดับอมตะของตระกูลหนานแห่งน่านฟ้าที่เจ็ด ในใจหนานหยวนชิง เรื่องสังหารหลินสวินไม่สามารถเทียบได้กับการรับผู้สืบทอดของหอบรรพจารย์ลัทธิแรกกำเนิดสักนิด

และในที่นั้น คนใหญ่คนโตที่มีความคิดเช่นนี้ก็มีไม่น้อย ชั่วขณะหนึ่งทุกคนต่างมีความคิดของตน ทั้งขุ่นเคืองทั้งจนปัญญา

หลินสวินคนเดียว รั้งดึงพลังและจิตใจของพวกเขามากเกินไปแล้ว แต่จนตอนนี้พวกเขายังทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ ใครจะไม่อึดอัดบ้าง

“รออีกหน่อย ข้าไม่เชื่อว่าเจ้าหมอนี่จะไม่เผยร่องรอยสักนิด!”

ชวีอู๋เยี่ยนไอสังหารพลุ่งพล่าน

ทุกคนต่างรู้ว่านี่คือวิธีเดียวในตอนนี้ เพียงแต่แค่คิดว่าจะต้องหดหัวอยู่ที่นี่ ซุ่มโจมตีต่อไป ในใจก็หงุดหงิดมาก

และก็เป็นตอนนี้เอง ทุกคนต่างพบว่าผู้สืบทอดคีรีดวงกมลที่ตอนนั้นไม่ได้ตายนอกโบราณสถานทวยเทพ ตอนนี้กลับเติบใหญ่ขึ้นจนถึงขั้นทำให้พวกเขาต่างรู้สึกยากจะรับมือและปวดหัวแล้ว!

พวกเขาต่างไม่กล้าจินตนาการ ว่าหากคนเช่นนี้ก้าวสู่ระดับอมตะ จะเกิดหายนะที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน…

……

เวลาล่วงเลยไป หนึ่งปีผ่านไปอย่างรวดเร็ว

ในน่านฟ้าที่ห้าเงียบสงบไร้คลื่นลม ไร้ซึ่งเภทภัย ใต้หล้าสงบเงียบ ภาพที่ผิดปกตินี้เหนือความคาดหมายของทุกคนโดยสมบูรณ์

ตอนนี้ผู้ฝึกปราณน่านฟ้าที่ห้าต่างรับรู้แล้วเช่นกัน เห็นชัดว่าหลินสวินตระหนักได้ถึงอันตรายของสถานการณ์ เป็นไปได้สูงว่าอาจเก็บตัวจำศีลไปแล้ว ไม่มีทางเผยร่องรอยในระยะเวลาอันสั้นอีก!

ผู้แข็งแกร่งเผ่าจักรพรรดิอมตะที่ซุ่มอยู่บริเวณสำนักศึกษาควันวายุและเส้นทางดาราเขตแดน ในหนึ่งปีนี้แบกรับความทรมานอย่างเต็มเปี่ยม ความอดทนค่อยๆ ถูกกำจัด

คนไม่รู้เท่าไหร่ด่าหลินสวินในใจอย่างรุนแรง ยิ่งไม่ขาดเสียงสาปแช่ง

บางคนโมโหจนแทบคลั่ง ยิ่งส่งเสียงไปยังโลกภายนอกอย่างเดือดดาล ใช้คำพูดที่เย้ยหยันที่สุดท้าทายและเสียดสีหลินสวิน พยายามล่อให้หลินสวินออกมา

แต่ล้วนไม่เกิดผลใดๆ

หลินสวินเหมือนระเหยไปกลางอากาศ ไม่มีใครรู้ว่าเขาซ่อนตัวอยู่ที่ไหน และไม่มีใครรู้ว่าในช่วงที่ผ่านมาเขาทำอะไรอยู่

สำนักศึกษาพยับวายุ

ขุมอำนาจที่ถือเป็นเพียงชั้นรองของน่านฟ้าที่ห้า ไม่สามารถเทียบกับสำนักศึกษาควันวายุได้สักนิด

แต่ในสายตาของผู้ฝึกปราณทั่วโลก สำนักศึกษาพยับวายุเรียกได้ว่าเป็นขุมอำนาจที่ยิ่งใหญ่แห่งหนึ่งในน่านฟ้าที่ห้าแล้ว

บนโลกนี้ คนและขุมอำนาจชั้นยอดอย่างไรก็เป็นส่วนน้อย ผู้คนมากมายที่อยู่บนโลกต่างหากที่เป็นแกนหลักของโลกใบนี้

สำนักศึกษาพยับวายุที่ไม่อยู่ในสายตาของเผ่าจักรพรรดิอมตะเหล่านั้นสักนิด ในใจของผู้ฝึกปราณบนโลก กลับเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ฝึกปราณแห่งหนึ่ง

เมืองที่ใกล้กับสำนักศึกษาพยับวายุที่สุดนามว่าเมืองพยับวายุ

หนึ่งปีกว่านี้หลินสวินอยู่ในเมืองมาโดยตลอด กลางวันเดินเล่นในเมือง สัมผัสเรื่องราวบนโลก เมื่อตกกลางคืนก็นั่งสมาธิสงบจิตฝึกปราณ หยั่งรู้นัยเร้นลับมหามรรค

ไม่มีใครรู้ว่าเจ้าหนุ่มที่อยู่ติดบ้านและชอบเดินเล่นในเมือง ก็คือ ‘คนร้ายกาจแซ่หลิน’ ที่ชื่อเสียงเลื่องลือในโลกยอดนิรันดร์คนนั้น

‘เกือบจะสองปีแล้ว…’

ในวันนี้หลินสวินเดินออกจากลานบ้านที่เขาซื้อด้วยมูลค่ามหาศาล มองบนท้องฟ้า ก็ไม่รู้ว่าคิดอะไรขึ้นมาถึงได้เผยยิ้มออกมาอย่างไร้สุ้มเสียง

หลังจากเจอกับลั่วชิงสวิน ในใจเขายิ่งสงบไม่เร่งรีบเดินทางอีก และไม่กระตือรือร้นที่จะมุ่งหน้าไปยังน่านฟ้าที่หก

เขารู้ดีว่าขอเพียงแค่เขายังมีชีวิตอยู่ ศัตรูมีแต่จะร้อนใจมากกว่าเขา!

หลินสวินเก็บสายตาที่มองไปยังท้องฟ้าพลางเอามือไพล่หลัง ก้าวย่างเนิบช้าออกจากเมืองพยับวายุ เดินอยู่ท่ามกลางภูผาธาราตลอดทาง ไม่นานก็มาถึงหน้าเทือกเขาที่งดงามศักดิ์สิทธิ์ กว้างใหญ่ไพศาล เรียงตัวเป็นคลื่นแถบหนึ่ง

ที่นี่คืออาณาเขตของสำนักศึกษาพยับวายุ ประตูภูเขาของสำนักสร้างอยู่ในส่วนลึกของภูเขา

ใต้ต้นก่วมเก่าแก่ที่ใบไม้ราวกับลุกโชนต้นหนึ่ง หลินสวินยืนนิ่งอยู่ใต้ต้นไม้ มองไปไกลๆ เงียบๆ

ไม่ได้รอนานเกินไป ในจิตรับรู้ของเขาก็เห็นเหลิ่งชิงเสวี่ยในชุดสีขาวยิ่งกว่าหิมะ มัดผมดำด้วยเชือกทอง พาเสี่ยวซีที่เงาร่างอรชร เต็มไปด้วยกลิ่นอายสดใสทั้งตัวเดินออกจากประตูภูเขาของสำนักศึกษาพยับวายุ

พวกนางเดินเคียงกันไปยังส่วนลึกของภูเขาห่างออกไป

——