อาจจะไปพิชิตภูเขาเอเวอเรตต์ และอาจไปเล่นสกีที่ภูเขาแอลป์ ไปเที่ยวพักผ่อนที่ฝรั่งเศส ไปสำรวจขั้วโลกใต้หรือไปดำน้ำที่เกาะตาฮิติ

แต่อุบัติเหตุในครั้งนั้น ทำให้ชีวิตของเขาพลิกผันเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดิน

เดิมทีเขาคือลูกคุณหนูตระกูลเศรษฐีอยู่บนจุดสูงสุดของโลกใบนี้ หกเจ็ดพันล้านคนทั่วโลก คนที่สามารถมีชาติกำเนิดดีขนาดนี้ มีไม่เกินร้อยคน

แต่ว่าหลังอายุแปดขวบ เขาก็กลายเป็นเด็กกำพร้าที่น่าสงสารและน่าเวทนาที่สุด

เทียบกับเด็กกำพร้าคนอื่นๆ แล้ว ชีวิตของเขาลำบากมากกว่านัก

นี่เป็นเพราะเขาไม่เพียงไร้พ่อไร้แม่เหมือนกับเด็กกำพร้าคนอื่นๆ แต่ยังต้องใช้ชีวิตอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเหมือนคนอื่นๆ ด้วย

ภายในใจของเขาในวัยเด็ก ยังต้องแบกรับความเจ็บปวดทรมานที่พ่อกับแม่ถูกฆาตกรรมอยู่เป็นนิจ แบกรับความเคียดแค้นที่อยู่ร่วมโลกกันไม่ได้ แบกรับการหล่นลงมาจากสวรรค์ลงสู่นรก

พริบตาเดียว ก็ผ่านมาแล้วสิบเก้าปี

เด็กชายตัวเล็กๆ ที่ยืนร้องไห้ปริ่มจะขาดใจอยู่หน้าประตูสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าคนนั้น ปัจจุบันนี้ได้เติบใหญ่กลายเป็นชายหนุ่มอายุยี่สิบเจ็ดปีคนหนึ่ง

ดังเช่นที่ซุนยู่ฟางพูด ชีวิตคนเราช่วงอายุที่สวยงามที่สุด อยู่ระหว่างยี่สิบปีถึงสามสิบปี แต่สำหรับเย่เฉินแล้ว เวลาสิบปีนี้ได้ผ่านไปเจ็ดปีแล้ว

เย่เฉินเอามือแตะที่หน้าอกแล้วอดถามตัวเองอย่างห้ามไม่ได้ “เจ็ดปีที่ผ่านมานี้ ฉันไม่มีโอกาสได้เสพสุขกับชีวิต แล้วหลังจากนี้อีกสามปีล่ะ? หากสามปีนี้ความแค้นใหญ่หลวงของพ่อแม่ยังไม่ได้สะสาง อย่างนั้นเวลาสิบปีของฉัน ก็คงจะผ่านไปทั้งอย่างนี่แล้ว…”

พอคิดมาถึงตรงนี้ ในใจของเย่เฉินจะมากจะน้อยก็รู้สึกหดหู่อยู่บ้าง

แต่เขามีชีวิตโดยไร้ความแค้นมาสิบเก้าปี

แม้ในสิบเก้าปีมานี้ สิบห้าปีก่อนจะอยู่โดดเดียวไม่มีใครให้พึ่งพิง และอีกสามปีต่อมาก็ได้รับคำพูดเหน็บแนมต่างๆ นาๆ เรียกได้ว่าลิ้มรสความขมขื่นร้อยชนิดบนโลกนี้มาหมดแล้ว

ซุนยู่ฟางคิดไม่ถึงว่า หลังจากที่ตนพูดไม่กี่ประโยค เย่เฉินถึงกับดูท่าทางหมดอาลัยตายอยากขึ้นมาเล็กน้อย ส่วนลึกในจิตใจถามตัวเองขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ “หรือว่าเมื่อกี้ฉันไม่ระวังพูดอะไรผิดไป? ทำไมเสี่ยวเย่เวลานี้ถึงรู้สึกเหมือนกับว่ามีเรื่องหนักใจอยู่กันล่ะ?”

กำลังคิดอยู่ดีๆ หวังตงเสวี่ยนก็วิ่งกระหืดกระหอบกลับมาแล้ว

ในมือเธอหิ้วถุงพลาสติกมาสองถุง เจ้าตัวยังอ้าปากหอบหายใจ ก่อนจะพูดอย่างยากลำบากอยู่บ้าง “พ่อ…แม่…หนู…หนูซื้ออาหารกลับมาแล้ว รีบ…รีบทานเถอะ…”

ซุนยู่ฟางเห็นลูกสาวท่าทางเหนื่อยหอบ จึงรีบร้อนถามว่า “ตงเสวี่ยน นี่ลูกเป็นอะไรไป?”

หวังตงเสวี่ยนรีบกล่าวว่า “ไม่เป็นอะไรค่ะ เมื่อกี้หนูแค่วิ่งมาเร็วไปนิด ตอนนี้เลยหายใจไม่ทัน พักสักเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว…”

หวังเฉิงหย่วนพูดด้วยความสงสารอย่างห้ามไม่ได้ “อั้ยหยา ลูกจะวิ่งเร็วขนาดนี้ไปทำไม? ค่อยๆ เดิน ค่อยๆ ซื้อก็พอแล้ว ไม่ใช่เรื่องด่วนมากสักหน่อย”

หวังตงเสวี่ยนพูดอย่างไม่ค่อยเป็นธรรมชาตินัก “พ่อหิวไม่ใช่เหรอคะ? ไม่ได้กินข้าวมานานขนาดนี้ หนูก็กลัวว่าพ่อจะหิวจนทำลายสุขภาพ…”

อันที่จริง หวังตงเสวี่ยนเขินที่จะพูดความจริงออกมา

ที่เธอวิ่งมาเร็วขนาดนี้ ก็เพราะกลัวว่าพ่อกับแม่จะพูดอะไรที่ไม่ควรพูดกับเย่เฉิน

ดังนั้นเธอจงตั้งใจวิ่งให้เร็วขึ้นนิดหน่อย พยายามย่นเวลาที่เย่เฉินอยู่กับพ่อแม่ตามลำพัง

ในเวลานี้เอง พยาบาลก็วิ่งเข้ามาอย่างรวดเร็วราวกับบิน พูดโพล่งออกมาด้วยความดีใจเต็มใบหน้า “หัวหน้าฝ่ายเฉิน! ผลเลือดคนไข้ออกมาแล้ว ค่าซีรั่มครีเอตินินมีแค่45!”