ถ้าอีกฝ่ายไม่ตอบ หลิวจ้านก็ทำได้แค่ถ่วงเวลาอยู่ที่หอเพชรนิลจินดา อีกฝ่ายตอบเมื่อไหร่ ก็จะออกไปเมื่อนั่น
ตอนนี้ อีกฝ่ายให้คำตอบที่ชัดเจน หลิวจ้านก็ไม่คิดจะอยู่ต่อให้เสียเวลา เขาหันไปมองผู้คนที่หมอบอยู่ในห้องโถง จากนั้นก็พูดเสียงเย็นว่า “รถที่ฉันต้องการพวกนั้นก็เตรียมมาให้แล้ว ดังนั้นก็ได้เวลาที่ฉันต้องไปจากที่นี่ ขอบคุณทุกคนที่ให้ความร่วมมือ หลังจากที่ฉันไปแล้วพวกแก็จะเป็นอิสระ”
หลายร้อยกว่าคนในห้องโถงได้ยินแบบนี้ ก็ถอนหายใจออกมา
บนใบหน้าของทุกคน ปรากฏรอยยิ้มเมื่อคิดว่ารอดชีวิต
เนื่องด้วยการรักษาความปลอดภัยของประเทศดีมาตลอด หลายๆคนจึงไม่เคยประสบพบเจอกับอะไรแบบนี้ แต่พอมาเจอก็ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ ถือเป็นความโชคดีอย่างหาที่สุดไม่ได้
ดังนั้น ในตอนนี้ทุกคนจึงโล่งใจ ตอนนี้รอแค่ไอ้มหันตภัยนี่ออกไป ก็จะสามารถผ่านพ้นวิกฤตอันตรายนี้ไปได้แล้ว
ในตอนนี้เอง จู่ๆหลิวจ้านก็เอ่ยพูดขึ้นมาว่า “ทุกคน ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ฉันอยากให้พวกแกช่วย และก็หวังว่าพวกแกจะเห็นแก่ที่ฉันรักษาคำพูด ไม่ปฏิเสธความช่วยเหลือจากฉัน”
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนี้ ก็รู้สึกเครียดขึ้นมาทันที
ไม่มีใครรู้ว่าหลิวจ้านคนนี้ ต้องการอะไรกันแน่
ถ้าเขาต้องการเงิน อันที่จริงแล้วก็ไม่ถือว่าเป็นปัญหา ขอแค่ไม่ทำร้ายใครก็พอ ทุกคนต่างก็ยินยอมที่จะมอบทรัพย์สินที่มีอยู่ติดตัวให้เขา
แต่กลัวก็แต่เขาจะมีความคิดอย่างอื่น
ในตอนนี้เอง หลิวจ้านก็เอ่ยพูดขึ้นมาว่า “ฉันให้คนพวกนั้นเตรียมรถโรลด์รอยซ์ไว้ให้แล้ว แต่ว่า ถ้าฉันไปขึ้นรถแค่คนเดียว พวกนั้นต้องไม่ยอมปล่อยฉันไปง่ายๆแน่ ดีไม่ดีอาจจะเล่นงานฉันกลางทางก็ได้”
“ดังนั้น ฉันต้องการคนสองคนให้ไปกับฉัน รอจนกว่าฉันออกไปจากเมืองจินหลิงได้อย่างปลอดภัย ฉันก็จะปล่อยสองคนนั้นไป!”
พูดถึงตรงนี้ หลิวจ้านก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย เอ่ยถามว่า “ไม่รู้ว่าในนี้มีใครจะยอมเป็นอาสาสมัครไหม?”
เมื่อทุกคนได้ยินแบบนี้ แต่ละคนต่างก็ก้มหน้าลงต่ำ
เหมือนเด็กเรียนไม่เก่งที่ไม่ได้ทบทวนบทเรียน พอครูสุ่มเรียกชื่อให้ตอบ แต่ละคนต่างก็อธิษฐานในใจว่าอย่าเป็นตัวเอง
แต่ว่า เบื้องลึกในใจของทุกคนในห้องโถง กลับรู้สึกสบายใจไปแล้วเปลาะหนึ่ง
ทุกคนต่างก็คิดว่า จำนวนคนในห้องโถงมีเป็นร้อย ถ้าเลือกมาแค่สองคน แบบนั้นก็อาจจะมีความเป็นไปได้ที่จะไม่ถูกเลือก
อันที่จริง หลิวจ้านมีคนในใจอยู่แล้ว ทว่าการแสดงละครก็ต้องดำเนินต่อไป ไม่อย่างนั้นถ้าถูกจับได้ จนทำให้นายจ้างที่อยู่เบื้องหลังไม่พอใจเข้าล่ะก็ เขาคงแย่แน่ๆ
ดังนั้น เขาจึงทำเป็นมองไปรอบๆ เอ่ยพูดอย่างไม่พอใจว่า “พวกแกนี่มันไม่ได้เรื่อง ฉันยังพูดคำไหนคำนั้นกับพวกแกเลย พอตอนนี้ฉันต้องการความช่วยเหลือบ้าง พวกแกแต่ละคนกลับหดหัวอย่างกับเต่าในกระดอง ขนาดมองหน้าฉันยังไม่กล้ามอง แบบนี้มันมากเกินไปหรือเปล่า?”
ในช่วงสถานการณ์อย่างนี้ แน่นอนว่าไม่มีใครต่อสนทนากับเขาอยู่แล้ว
เพราะใครๆต่างก็เข้าใจคำว่ายื่นหน้าเข้าหาปืน ตอนนี้ถ้าใครเงยหน้า จนกลายเป็นจุดสนใจของเขา แบบนั้นก็อาจจะถูกเขาเลือกก็ได้
ดังนั้น ทุกคนต่างก็พากันมุดหัวเหมือนเคย ไม่มีใครกล้าเงยหน้ามองเขาเลยสักคน
หลิวจ้านตะคอกออกมาอย่างมีน้ำโห “แม่งเอ้ย!พวกมึงคิดจะลองดีกับกูใช่ไหม?? กูอุตส่าห์จริงใจกับพวกมึง แต่พวกมึงไม่แม้แต่จะมองหน้ากูเนี่ยนะ?? ได้!กูจะนับหนึ่งถึงสาม ใครไม่เงยหน้ามองกูล่ะก็ กูจะยิงหัวมัน!”
เมื่อคำพูดนี้ถูกพูดออกมา คนร้อยกว่าคนก็เงยหน้าขึ้นมาอย่างไม่ลังเล มองมาที่หลิวจ้านอย่างตาไม่กะพริบ
ไม่มีใครไม่รักชีวิตตัวเอง ดังนั้น จึงไม่มีใครกล้าขัดคำสั่งของอันธพาลที่ฆ่าคนโดยไม่กะพริบตาในเวลาแบบนี้
ดวงตาของหลิวจ้านมองสำรวจไปรอบๆ จากนั้นก็หยุดสายตาไว้ที่ตู้ไห่ชิงกับซูจือหยู เอ่ยพูดด้วยรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ว่า “คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีสาวสวยตั้งสองคน ระหว่างที่หนี ถ้ามีสาวสายอย่างพวกแกร่วมทางไปด้วย ต่อให้ตายก็ถือว่าคุ้ม ฉันเลือกพวกแกแล้วกัน!”