บทที่ 2640
หลังจากทั้งสองคนลงรถมาแล้วก็เดินเข้าไปในตึกสำนักงาน เฮ่อจือชิวเดินตามอยู่ข้างกายเย่เฉิน เธอพูดเสียงแผ่วด้วยความประหม่
“คุณรู้มั้ยคะว่าห้องทำงานของพ่อฉันอยู่ที่ไหน ฉันไม่เคยมาที่นี่สักครั้งเลยค่ะ”
เย่เฉินพยักหน้า “รู้ เธอสบายใจแล้วเดินตามฉันมาอย่างกล้าหาญชาญชัยได้เลย”
เฮ่อหยว่นเจียงในตอนนี้กำลังเดินไปเดินมาอยู่ในห้องทำงานตัวเอง
ลูกสาวเพียงคนเดียวอยู่ไกลถึงซีเรีย ไม่รู้ว่าเป็นตายร้ายดียังไง เขาเป็นห่วงเป็นธรรมดา และด้านเย่เฉินก็ไม่ได้มีความคืบหน้าอะไรที่
ชัดเจนแจ้งมา เขาไม่รู้เลยว่าลูกสาวจะรอดจากเคราห์นี้ไปได้มั้ย
และเนื่องจากความวิตกกังวลในใจ วันนี้ตอนสอนเฮ่อหยว่นเจียงจึงเหม่อและสอนผิดอยู่บ่อยครั้ง เขารู้สึกว่าประสาทของตัวเองตึงเครียด
ถึงขีดสุด ถ้าวันนี้ยังไม่ได้ข่าวของลูกสาวตัวเองคงต้องขอลากับทางมหาวิทยาลัย และไปซีเรียด้วยตัวเอง
เขารู้ว่าตัวเองไม่มีปัญญาช่วยลูกสาวหรอก หรือไม่สามารถแม้กระทั่งไปถึงที่ที่ลูกสาวถูกคุมขังไว้ได้ แต่เขาก็ยังหวังว่าตัวเองจะอยู่ใกล้
ลูกสาวมากขึ้น แบบนั้นจะมากจะน้อยเขาก็สบายใจกว่า
ในขณะที่เขากำลังกระสับกระส่าย อยู่ๆเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ความคิดฟุ้งซ่านของเขาโดนขัด ได้แต่ก้าวไปที่ประตูและยื่นมือไปเปิด
พอเปิดประตูมา เขาก็เห็นผู้หญิงอ่อนเยาว์ทันสมัยคนหนึ่งยืนอยู่หน้าประตู แต่ผู้หญิงคนนั้นใส่หน้ากากไว้ เขาจึงไม่รู้ว่าเธอหน้าตาเป็นยัง
ไง เลยถามขึ้นอย่างแปลกใจ “สวัสดีครับ ไม่ทราบว่าคุณมีธุระอะไรครับ”
เฮ่อหยว่นเจียงจำลูกสาวที่ยืนอยู่ตรงหน้าตัวเองไม่ได้
ไม่ใช่ว่าเขาห่างเหินกับลูกสาวมาก แต่ในความทรงจำของเขาลูกสาวเฮ่อจือชิวไม่เคยแต่งตัวทันสมัยขนาดนี้ และหวานแหววขนาดนี้มา
ก่อน
เฮ่อจือชิวในเวลาปกติถึงจะไม่ได้แต่งตัวเหมือนเด็กผู้ชาย แต่ก็แต่งตัวเรียบๆและใส่กระโปรงน้อยมาก เนื่องจากเธอจบจากมหาวิทยาลัย
สแตนฟอร์ด เพราะฉะนั้นสไตล์การแต่งตัวของเธอแทบจะเหมือนกับบรรดาโปรแกรมเมอร์ที่ซิลิคอนแวลลียเปี๊ยบ หน้าร้อนใส่เสื้อยืดกางเกงยีน
หน้าหนาวใส่เสื้อโค้ท เสื้อขนสัตว์คู่กับกางเกงยีนส์
แต่ผู้หญิงตรงหน้าดูก็รู้ว่าเป็นคนที่ใส่ใจและช่างเลือกในการแต่งตัวมาก ต่างกับเฮ่อจือชิวราวฟ้ากับดิน”
อีกอย่าง เขาไม่ได้นึกถึงลูกสาวเลย เพราะในจิตใต้สำนึกของเขาบัดนี้ลูกสาวยังอยู่ในซีเรียที่ไกลออกไปหลายพันกิโลเมตร ไม่มีทางมา
อยู่ตรงหน้าตัวเองหรอก
เฮ่อจือชิวก็คิดไม่ถึงว่าพ่อจะจำตัวเองไม่ได้จริงๆ
เธอถลึงตามองเฮ่อหยว่นเจียงตั้งแต่หัวจรดเท้า นอกจากความตะลึงในสายตาแล้ว ยังเจือการบอกใบ้ไว้ด้วย
แต่เฮ่อหยว่นเจียงไม่มีอารมณ์จะใคร่ครวญถึงความนัยในสายตาของเธอเลยสักนิด
พอเห็นว่าผู้หญิงตรงหน้าเอาแต่จ้องตัวเองไม่ยอมพูดจา เฮ่อหยว่นเจียงหมดความอดทนจะยืนเสียเวลาอยู่ตรงนี้ต่อไป จึงเอ่ยขึ้น “ถ้าไม่มี
อะไรก็เชิญกลับไปเถอะครับ”
พูดจบเขาก็ปิดประตู
เฮ่อจือชิวหน้าประตูเอ๋อไปหมด
เธอคิดไม่ถึงเลยว่าแค่ใส่หน้ากากพ่อก็จำตัวเองไม่ได้ซะแล้ว
นอกจากจะจำตัวเองไม่ได้ ยังปิดประตูใส่ด้วย
เย่เฉินที่ยืนพิงกำแพงอยู่ด้านหนึ่งกำลังมองเธอด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและถามเสียงเบา “เป็นไงล่ะ ยอมรึยัง?”
เฮ่อจือชิวพูดด้วยท่าทีงอนๆ “อย่างมากคืนนี้ฉันเลี้ยงข้าวคุณก็ได้ค่ะ”
เย่เฉินโบกมือ “คืนนี้คงไม่ได้ คืนนี้ฉันต้องกลับบ้าน ภรรยาฉันรอฉันอยู่ที่บ้าน”
เฮ่อจือชิวถามอย่างตกใจ “คุณ…คุณแต่งงานแล้วหรอคะ”
เย่เฉินพยักหน้า “แต่งงานมาสี่ปีแล้ว”
จู่ๆเฮ่อจือชิวก็รู้สึกโหวงเหวงใจ แต่ไม่นานนักเธอก็ปรับอารมณ์ได้และเอ่ยขึ้น “ได้ ถ้าอย่างนั้นเรื่องกินข้าวเราค่อยว่ากันวันหลังก็ได้ค่ะ
ยังไงซะหลังจากนี้ฉันก็ต้องอยู่ทำงานให้คุณที่จินหลิงแล้ว จะเสียพนันให้คุณเมื่อไหร่ก็ได้”
เย่เฉินยิ้มเล็กน้อย “ได้ ข้าวมื้อนี้จดไว้ก่อน”
พูดจบเขาก็ชี้ประตูห้องทำงานของเฮ่อหยว่นเฉียวและเอ่ยยิ้มๆ “ให้โอกาสพ่อเธออีกสักครั้งมั้ย”
เฮ่อจือชิวยกมือด้วยอารมณ์งอนเล็กน้อย และเคาะประตูอีกครั้ง
ก๊อกๆๆ
เฮ่อหยว่นเจียงในห้องฉุนเฉียวอย่างเห็นได้ชัด เขาเปิดประตูด้วยความไม่สบอารมณ์นิดหน่อย พอเห็นว่ายังเป็นผู้หญิงคนเดิมก็เอ่ยถามขึ้น
“คุณมีเรื่องอะไรกันแน่ครับ?”
เฮ่อจือชิวกระทืบเท้าอย่างมีน้ำโหและดึงหน้ากากออกพร้อมโพล่งออกไป “เฮ่อหยว่นเจียง! คุณจำลูกสาวแท้ๆของตัวเองไม่ได้หรอ?!”