เย่เฉินพยุงสองแม่ลูกลุกขึ้น มองไปที่เหออิงซิ่วและกล่าวว่า “คุณผู้หญิงเหอ คราวนี้เรื่องที่คุณมาพบรั่วหลีที่เมืองจินหลิง โปรดเก็บเป็นความลับสุดยอด อย่าบอกใครเด็ดขาด รวมถึงคนตระกูลเหอด้วย!”

เหออิงซิ่วรู้ดีว่า วิธีที่ดีที่สุดในการเก็บความลับคือการไม่บอกใคร มิเช่นนั้นเมื่อพูดออกไปแล้ว ไม่ว่าช่องนั้นจะเล็กแค่ไหน ต่อไปคนนอกก็ต้องรู้อยู่ดี

รั่วหลีเป็นลูกสาวของตนเอง เหออิงซิ่วสามารถรับประกันว่าตนเองนั้นไม่เปิดเผยให้คนอื่นรู้แน่นอน แต่คนอื่น ๆ ในตระกูลเหอนั้นพูดยาก แม้แต่พ่อของตนเองก็อาจจะไม่น่าเชื่อถือร้อยเปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยของลูกสาว เธอจะต้องเก็บเป็นความลับสุดยอดแน่นอน

ดังนั้น เธอจึงกล่าวอย่างหนักแน่นว่า “คุณชายเย่วางใจเถอะ ฉันจะเก็บเรื่องนี้เป็นความลับสุดยอด หลังจากออกไปจากที่นี่แล้ว ฉันจะไม่บอกใครแน่นอน!”

ซูรั่วหลีที่อยู่ด้านข้างได้ยิน ก็รีบถามทันทีว่า “แม่ แม่คิดจะไปเมื่อไหร่?”

เหออิงซิ่วคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวว่า “แม่บอกคุณตาของลูกไว้ว่า พรุ่งนี้แม่จะไปหาเบาะแสของลูกที่คาบสมุทรซานตง ดังนั้นวันพรุ่งนี้แม่จะไปที่นั่น”

สีหน้าของซูรั่วหลีเต็มไปด้วยความอาลัยอาวรณ์ กอดแขนข้างเดียวของเหออิงซิ่วด้วยความขี้อ้อน “แม่……แม่ไม่ได้เจอฉันมานานแล้ว อยู่เป็นเพื่อนฉันอีกวันไม่ได้เหรอ?”

เหออิงซิ่วถอนหายใจและกล่าวอย่างจริงจังว่า “รั่วหลี แน่นอนว่าแม่อยากอยู่เป็นเพื่อนลูก อย่าบอกว่าอยู่กับลูกแค่วันเดียว แม้ว่าต่อไปจะให้อยู่กับลูกที่นี่ตลอดไป แม่ก็เต็มใจ……..”

เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ เหออิงซิ่วกล่าวอย่างจำใจว่า “แต่……ทุกคนในตระกูลเหอก็รู้ว่าแม่ตามหาลูกด้วยความลำบากยากเย็น คราวนี้แม่บอกคุณตาของลูกแล้ว ไม่ว่าคุณชายเย่จะต้องการพบแม่เพื่อคุยเรื่องอะไร หรือคุยได้ผลลัพธ์อย่างไร พรุ่งนี้แม่ก็ต้องไปตามหาลูกที่คาบสมุทรซานตง ถ้าจู่ ๆ แม่อยู่ที่เมืองจินหลิงต่อ เกรงว่าคุณตาของลูกจะเกิดความสงสัยได้……..”

“ถึงแม้ว่าแม่จะไม่สงสัยคุณตาของลูกจะมีใจทำร้ายลูกได้ แต่ในตระกูลเหอมีคนมากเรื่องก็เยอะตาม มีปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้มากเกินไป ถึงแม้ว่าพวกเราจะตัดความสัมพันธ์กับตระกูลซู แต่แม่มักจะสงสัยว่าตระกูลซูกำลังสังเกต การเคลื่อนไหวของพวกเราอย่างลับ ๆ ถ้าหากตระกูลซูรู้ว่าลูกยังมีชีวิตอยู่ เป็นไปได้ที่พวกเขาจะต่อต้านลูกอีก”

เมื่อซูรั่วหลีได้ยินเหออิงซิ่วกล่าวถึงตระกูลซู การแสดงออกของเธอก็เต็มไปด้วยความโกรธ และกล่าวอย่างเย็นชาว่า “แม่! พวกเราตระกูลเหอเราอุทิศเวลาหลายปีเพื่อธุรกิจของตระกูลซู แต่สุดท้ายตระกูลซูไม่เพียงไม่คิดถึงความสัมพันธ์เก่า ไม่คิดถึงความเป็นญาติ และยังขายฉันให้กองกำลังป้องกันตนเองภาคพื้นดินญี่ปุ่น ความแค้นนี้ต่อไปฉันจะต้องแก้แค้นคืนอย่างแน่นอน!”

เหออิงซิ่วยิ้มอย่างขมขื่น “ในสายตาของตระกูลซูแล้ว พวกเราคือบอดี้การ์ดที่พวกเขาเสียเงินจ้างเท่านั้น ถ้าเป็นสมัยโบราณ พวกเรานั้นเป็นเหมือนคนรับใช้ที่ดูแลบ้านของพวกเขาเท่านั้น พวกเขารู้สึกว่าขอแค่พวกเขาให้เงินพวกเรา พวกเราก็ควรจะทำงานอย่างถวายชีวิต ในสายตาของพวกเขา พวกเราไม่คู่ควรที่พวกขาจะมีความรู้สึกอะไรให้เลย”

ขณะที่กล่าว เธอถอนหายใจและกล่าวต่อไปว่า “เรื่องการแก้แค้น แม่แนะนำว่าตอนนี้ลูกอย่าเพิ่งคิดเรื่องนี้ อำนาจของตระกูลซู เป็นสิ่งที่ตระกูลเหอไม่สามารถเทียบได้ ต่อไปลูกติดตามและคอยปรนนิบัติรับใช้คุณชายเย่ด้วยความตั้งใจ และอย่าคิดเรื่องแก้แค้นตระกูลซูอีกต่อไปเลย”

ดวงตาของซูรั่วหลีแดงก่ำและกล่าวด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้นว่า “ฉันจะไม่ล้มเลิกความตั้งใจเรื่องการแก้แค้น หนึ่งปียังทำไม่ได้ ก็สามหรือห้าปี ถ้าสามหรือห้าปีก็ยังทำไม่ได้ ก็แปดหรือสิบปี ถ้ายังทำไม่ได้อีก ก็ยี่สิบหรือสามสิบปี คงจะมีสักวัน ฉันจะทำให้ตระกูลซูต้องชดใช้ทั้งหมด!”

เหออิงซิ่วกล่าวอย่างจำใจว่า “ความแค้นที่อยู่ในใจของลูก แม่เกลี้ยกล่อมลูกไปก็ไม่มีประโยชน์อะไรมากมาย แต่ลูกต้องควบคุมอารมณ์ของตนเอง ตอนนี้เป็นขั้นตอนสำคัญของการพัฒนาระดับผลฝึกฝนของลูก อย่าให้ความเกลียดชังกลายเป็นปีศาจในใจของลูก!”

ซูรั่วหลีพยักหน้าเบา ๆ