เป็นไปตามคาด

พอซูจือเฟยได้ยินคำพูดแบบนี้ มันก็ทำให้เขารู้สึกประหม่าขึ้นมาทันที

เขารู้ดี ซูจือหยูกับแม่ ครั้งนี้ถูกผู้มีพระคุณช่วยชีวิตไว้

และเขาก็รู้ดีว่า ตัวตนของผู้มีพระคุณผู้นี้ลึกลับมาก และความสามารถเหนือคน

ในอดีตที่ผ่านมา ยอดฝีมือสองคนของตระกูลซู คนหนึ่งคือท่านเฮ่อ อีกคนคือเหอหงเซิ่ง

ท่านเฮ่อเป็นคนที่เข้าใกล้การบุกทะลวงเส้นลมปราณเส้นที่สาม

แต่เหอหงเซิ่งนั่นสุดยอดกว่า เขาเป็นหนึ่งในคนจำนวนน้อยที่สามารถบุกทะลวงเส้นลมปราณเส้นที่สามสำเร็จ

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นความสามารถของเหอหงเซิ่ง ก็เทียบเท่ากับความสามารถของโจนินแห่งญี่ปุ่นเท่านั้น

แต่ตอนที่ผู้มีพระคุณอยู่ที่ญี่ปุ่น เขาได้ฆ่านินจานับไม่ถ้วนอย่างง่ายดาย หนึ่งในนั้นมีโจนินอยู่หนึ่งราย!

เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ความสามารถของผู้มีพระคุณ อย่างน้อยสามารถสู้เหอหงเซิ่งได้ถึงสองหรือสามคน

อีกทั้ง ภายใต้การที่ร่างกายไม่มีความเสียหายใดๆทั้งสิ้น

ความแข็งแกร่งแบบนี้ ไม่เคยได้ยินมาก่อนในสนามประลองในประเทศ

อย่าว่าแต่นักบู๊สามดาวเลย ถึงจะเป็นนักบู๊สี่ดาวเกรงว่าจะทำอะไรไม่ได้เช่นกัน

สิ่งที่ทำให้ซูจือเฟยเป็นกังวลมากไปกว่านั้นก็คือ เขาไม่รู้เหมือนกันว่าซูจือหยูกับผู้มีพระคุณผู้นั้น เป็นอะไรกันแน่

หรืออาจจะ ไม่ได้เป็นอะไรกันก็ได้

เขายังตระหนักด้วยว่า เรื่องที่ซูจือหยูถูกผู้มีพระคุณช่วยครั้งนี้ จะต้องมีอะไรปิดบังเขาอย่างแน่นอน ถ้าเธอกับผู้มีพระคุณมีความรักแบบหนุ่มสาวขึ้นมาจริงๆ ต้องจบเห่แน่ๆ มีการช่วยเหลือจากผู้มีพระคุณ ถึงจะไม่สามารถล้มตระกูลซูได้ แต่ก็อาจจะเอาชีวิตของคุณท่านได้แน่!

อีกทั้ง ซูจือหยูพูดเองแล้วว่า ชาตินี้เธอจะแต่งกับผู้มีพระคุณ เธอไม่เห็นผู้ชายคนอื่นอยู่ในสายตา ดีไม่ดีทั้งคนอาจจะมีอะไรกันจริงๆก็ได้!

“ซวยแล้ว……”ซูจือเฟยรู้สึกร้อนใจเป็นอย่างมาก

เขาแอบคิดในใจ“ฉันน่าจะรู้ตั้งนานแล้วว่า ผู้มีพระคุณคนนั้นอาจจะชอบจือหยูก็ได้……”

“ไม่อย่างนั้น เขาก็ไม่มีทางช่วยจือหยูที่เกียวโตแล้วหนึ่งครั้ง แล้วยังถ่อมาช่วยที่จินหลิงอีกครั้ง !”

“นี่มันท่าจะไม่ดีแล้วสิ……”

เมื่อคิดได้ดังนั้น ซูจือเฟยก็ถามอย่างลองใจว่า“จือหยู เธอรู้รายละเอียดตัวตนของผู้มีพระคุณไหม?พวกเธอสองคนคงไม่ได้คบกันแล้วใช่ไหม?”

ซูจือหยูเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วพูดอย่างจริงจังว่า“พี่คะ เรื่องบางเรื่องฉันรับปากกับผู้มีพระคุณแล้วว่าจะไม่บอกกับคนภายนอก ถึงจะเป็นพี่ก็ไม่ได้ พี่ต้องเข้าใจ”

คำพูดของซูจือหยูไม่ได้พูดเกินจริงเลย

เธอรับปากเย่เฉินแล้วจริงๆ ว่าจะไม่พูดกับคนภายนอกเรื่องตัวตนของเขา รวมถึงรายละเอียดการช่วยชีวิต

แต่ว่า ซูจือหยูฉลาดที่ เธอจงใจพูดจาครุมเครือ

วิธีพูดว่า“เรื่องบางเรื่อง” ทำให้ผู้ฟัง มีพื้นที่ว่างให้จินตนาการ

ซูจือเฟยอดที่จะคิดมากไม่ได้

“ที่จือหยูพูดว่าเรื่องบางเรื่อง ตกลงมันเป็นเรื่องอะไรกันแน่?หรือเธอจะคบกับผู้มีพระคุณแล้วจริงๆ?!”

ดังนั้น เขาจึงซักไซ้ต่อไปว่า“ดูเธอสิ ยังจะเห็นฉันเป็นคนนอกอีก ถ้าพวกเธอสองคนคบกันจริงๆ อนาคตข้างหน้าผู้มีพระคุณก็จะต้องเป็นน้องเขยของฉัน พ่อของเราตอนนี้หายตัวไปไหนไม่รู้ ถ้าตอนที่พวกเธอแต่งงานกันขึ้นมาแล้วเรายังหาเขาไม่เจอ ดีไม่ดีวันแต่งงานพี่ต้องคุณส่งเธอให้กับมือของผู้มีพระคุณ เธอกับพี่ยังจะพูดอะไรได้อีก?”

ซูจือหยูพูดอย่างจริงจังว่า“พี่คะ ถ้าฉันโชคดีเหมือนที่พี่พูด ได้เข้าพิธีวิวาห์กับผู้มีพระคุณ ฉันต้องไม่ปิดบังพี่อยู่แล้ว แต่ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลานั้น”

ซูจือเฟยตระหนักได้ว่าน้องสาวไม่มีทางพูดรายละเอียดของเหตุการณ์ออกมา เขาจึงใช้วิธีไม้อ่อนพลางถอนหายใจพูดขึ้นมาว่า“ความจริง ตั้งแต่อดีตมาในวิชาวรรณกรรม วีรบุรุษช่วยหญิงงามเป็นอะไรที่ขาดไม่ได้ จุดนี้เป็นสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ เนื่องจากมีผู้หญิงคนไหนบ้างที่จะทนต่อความตกตะลึงของผู้มีพระคุณได้”

ซูจือหยูพยักหน้ากับ คำพูดของเขา แล้วพูดอย่างยิ้มๆว่า“ใช่ค่ะ พี่ดูสิตั้งแต่ฉันกลับจากญี่ปุ่น วันๆจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอาแต่คิดถึงผู้มีพระคุณ ลำพังแค่คลิปของกล้องวงจรปิดของสนามบินฉันแทบจะดูจนตาบอด……ท้ายที่สุดแล้ว บุญคุณการช่วยชีวิตสำหรับผู้หญิงแล้ว มันลึกซึ้งมากจริงๆ!