“แกว่าอะไรนะ?!”
ซวนเฟิงเหนียนเบิกตามองกว้าง พูดด้วยใบหน้าที่ขาวซีดและหวาดกลัวว่า : “แก……แกก็มียันต์ฟ้าร้อง?!”
เย่เฉินยิ้มพร้อมพูดว่า : “ทำไม?แปลกมากเหรอ?มีได้แค่แกคนเดียว ฉันมีไม่ได้งั้นเหรอ?”
ซวนเฟิงเหนียนโพล่งพูดออกไปว่า : “แต่ว่า……แต่ว่าวิธีการควบคุมของยันต์ฟ้าร้องสูญหายไปนานแล้วนะ!ยันต์ฟ้าร้องของฉันยังเป็นกองพันทหารขุดทองในตอนนั้น ขุดออกมาจากหลุมศพของปรมาจารย์ซวนซวยแห่งราชวงศ์หมิง!นอกจากยันต์ฟ้าร้องสามแท่งนั้นของฉันแล้ว ฉันก็ไม่เคยเห็นยันต์ฟ้าร้องอื่นๆแต่อย่างใดมาก่อนเลย!”
เย่เฉินยิ้มแล้ว พูดว่า : “ดูเหมือนว่าคนอย่างแกไม่เพียงแค่เลวเท่านั้น แถมยังโง่เขลาอีกด้วย ยันต์ฟ้าร้องนั่นของแก ในสายตาของฉันก็เป็นเพียงแค่สิ่งของที่มีจุดบกพร่อง มียันต์ฟ้าร้องที่ใช้ได้แค่ครั้งเดียวที่ไหนกันล่ะ?ใช้ได้แค่ครั้งเดียวก็ถือว่าช่างมันเถอะ ผลสุดท้ายยังเรียกสายฟ้าผ่าได้น้อยขนาดนั้น พูดออกไปไม่อายคนแย่เหรอ”
พูดแล้ว เย่เฉินก็หยิบยันต์ฟ้าร้องนั่นออกมาจากในอ้อมแขนแล้ว ยิ้มไปพลางพูดไปพลางว่า : “มา ให้แกได้รู้ได้เห็นยันต์ฟ้าร้องของฉัน!”
ซวนเฟิงเหนียนเห็นเย่เฉินหยิบแผ่นที่มีลักษณะเป็นไม้ออกมาจากอ้อมแขน พูดโดยทันทีว่า : “ยันต์ฟ้าร้องของแกนี่ต่างกับของฉันยังไงเหรอ?ก็ทำจากไม้ฟาดสายฟ้าไม่ใช่เหรอ?”
เย่เฉินพูดอย่างดูถูกว่า : “อยากดูความแตกต่างใช่ไหม?มา ฉันจะทำให้แกได้รู้ได้เห็นเดี๋ยวนี้!”
พูดแล้ว เย่เฉินก็โบกมือข้างเดียว ยกยันต์ฟ้าร้องขึ้นบนหัว พูดตะโกนว่า : “สายฟ้าจงมา!”
เมื่อสิ้นสุดเส้นเสียง เมฆสีดำรวมกลุ่มก้อนใหญ่กลางท้องฟ้าอย่างรวดเร็วทันที และระหว่างก้อนเมฆยังส่งเสียงฟ้าร้องลั่น น่ากลัวอย่างมาก!
การเคลื่อนไหวนี้ เหมือนกับการบรรเลงเพลงโหมโรงก่อนที่จะเกิดพายุมรสุม!
ซวนเฟิงเหนียนตกใจกับภาพฉากการสู้รบนี้จนสับสนมึนงงแล้ว คนทั้งคนตัวสั่นอย่างรุนแรงโดยที่ไม่รู้ตัวเลย พูดพึมพำในปากว่า : “นี่จะเป็นไปได้ยังไง……นี่จะเป็นไปได้ยังไง……”
ไหม้เฉิงซินก็ตกใจจนอึ้งไปเลย เขายืนอยู่ด้านหลังของเย่เฉิน มองเงาหลังของเย่เฉิน อดไม่ได้ที่จะถามตัวเองในใจว่า : “ชายวัยรุ่นคนนี้ ทำไมถึงได้มีความสามารถที่สุดยอดเช่นนี้ได้?!หรือว่าเขาคือการมีอยู่ที่สูงส่งมากกว่านักบู๊อีกงั้นเหรอ?!คนแบบนั้น……คนแบบนั้นหายไปตั้งแต่บันทึกในสมัยราชวงศ์ถังแล้วไม่ใช่เหรอ?!”
และในขณะเดียวกัน ในมือเย่เฉินถือยันต์ฟ้าร้อง มองดูที่ซวนเฟิงเหนียนเหมือนกับมดตัวหนึ่งยังไงอย่างนั้น พูดถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า : “ซวนเฟิงเหนียน วันนี้ฉันจะตัดสินประหารชีวิตแก แกยอมซูฮกไหม?!”
ด้วยเสียงฟ้าร้องที่ดังกึกก้องอยู่ในหู ซวนเฟิงเหนียนตกใจกลัวแล้ว ยืนอยู่กับที่ถึงขั้นที่ว่าไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับอย่างไรดี
เย่เฉินเห็นว่าเขาไม่พูด จากนั้นก็ชี้ไปยังรถคันนั้นที่ซวนเฟิงเหนียนขับมา
เสียงดังตูม สายฟ้าผ่าลงมาจากบนฟ้า ฟาดเข้าไปยังรถคันนั้นโดยทันที รถทั้งคันถูกระเบิดทันที แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆแล้ว แสงแห่งเปลวไฟส่องสว่างไปทั่วฟ้า!
ในตอนนี้ ซวนเฟิงเหนียนช็อกไปเลย คนทั้งคนสองขาอ่อนแรง คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังฟุ๊บ จากนั้นก็รู้สึกเหมือนกระเพาะปัสสาวะคลายตัว ทันใดนั้นก็ฉี่เต็มเป้ากางเกงแล้ว
ไหม้เฉิงซินก็ตกใจจนใจเต้นแรงดังตุบๆอยู่ครู่หนึ่ง เขานึกขึ้นได้ถึงการกระทำและคำพูดทั้งหมดก่อนหน้านี้ที่ตัวเองปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือกับเย่เฉิน ในใจก็ยิ่งเกิดความหวาดกลัวอย่างมาก เกรงว่าเย่เฉินไม่ให้อภัยตัวเอง
ถ้าหากเย่เฉินอยากจะเอาชนะตัวเองจริงๆ ด้วยพละกำลังของเขา สามารถทำให้ตัวเองหายวับไปกับตาได้ในทันที!
เย่เฉินเห็นซวนเฟิงเหนียนคุกเข่าลงกับพื้น คนทั้งคนก็ตกใจจนอึ้งไปเลย และก็พูดถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาอีกครั้งว่า : “ซวนเฟิงเหนียน ฉันจะถามแกอีกครั้ง วันนี้ฉันตัดสินประหารชีวิตแก แกยอมซูฮกไหม?! ”
ซวนเฟิงเหนียนน้ำมูกน้ำตาไหลลงเป็นสาย พูดสำลักเหมือนเด็กน้อยที่เจ็บปวดยังไงอย่างนั้น : “ฉันยอมซูฮก……ฉันยอมซูฮก……ขอเพียงแค่อาจารย์ไว้……w;hชีวิตที่ไร้ค่าของฉันสักครั้ง ตั้งแต่วันนี้ไป ข้าน้อยขอสาบานต่อพระเจ้า ขอสาบานว่าจะขอติดตามอาจารย์เหมือนสุนัขตัวหนึ่งไปตลอดชีวิตจนตาย ต่อให้จะอันตรายและลำบากยากเข็ญแค่ไหน จะไม่ปฏิเสธแน่นอน…… ขอให้อาจารย์ได้โปรดให้อภัยด้วย!ขอให้อาจารย์ได้โปรดให้อภัยด้วย!”
เย่เฉินยิ้มเล็กน้อย : “ไม่มีการให้อภัย และฉันก็ไม่ต้องการคนแบบแกมาเป็นสุนัขของฉัน”