เมื่อซูจือหยูได้ยิน จึงอดที่จะเงยหน้ามองเย่เฉินไม่ได้

เธอพบว่า เย่เฉินรู้ทันแผนการของคุณปู่ทั้งหมด เขาบอกว่าคุณปู่จะต้องขอความช่วยเหลือจากเธออย่างแน่นอน คิดไม่ถึงว่าคุณปู่จะทำเหมือนที่เขาพูด

แต่ เขาไม่รู้ว่า ตกลงคุณปู่ไปทำให้เย่เฉินโกรธ และไม่รู้ว่าทำไมคุณปู่ต้องส่งปรมาจารย์วิชาพิษกู่มาที่จินหลิงเพื่อลอบสังหารเย่เฉิน

ดังนั้น เธอจึงไม่ได้รีบตอบตกลง แต่เอ่ยปากถามว่า“คุณปู่คะ คุณปู่บอกว่าผู้มีพระคุณเข้าใจคุณปู่ผิดไป บอกรายละเอียดหนูก่อนได้ไหมคะว่าเข้าใจอะไรผิด?ถึงหนูจะรับปากคุณปู่ ก็ต้องทำความเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างก่อน ถึงจะหาจุดที่สามารถพูดกับผู้มีพระคุณได้”

ซูเฉิงเฟิงชะงักไปครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจ พลางพูดขึ้นมาว่า“เห้อ……ไม่ถือว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิดอะไรหรอก ส่วนใหญ่เป็นเพราะปู่สับสน ปู่ไปเชิญปรมาจารย์ซวนซวยมาท่านหนึ่งจากอังกฤษ ให้เขาไปตามหาเบาะแสของผู้มีพระคุณของแกที่จินหลิง”

พูดจบ ซูเฉิงเฟิงโพล่งออกไปว่า“อันที่จริงปู่ก็ไม่ได้คิดจะทำร้ายผู้มีพระคุณคนนั้นหรอก แค่อยากตามหาเขา เพื่อพูดคุยกับเขาหน่อย แต่ปรมาจารย์ซวนซวยคนนั้นที่ปู่เชิญมาอาจจะใช้แรงเยอะไปหน่อย เลยฆ่าผู้บริสุทธิ์ไป และยังวางแผนจะกำจัดผู้มีพระคุณคนนั้นทิ้งอีก แต่นี่เป็นความคิดของหมอนั่นทั้งหมดเลย แต่ผู้มีพระคุณคนนั้นของแกไม่รู้หนิ คิดว่าปู่ส่งคนไปฆ่าเขา ดังนั้นเลยโกรธปู่……”

ซูจือหยูถึงกับอ้าปากตาค้างในทันที

เธอคิดไม่ถึงว่า คุณปู่จะยังกล้าเล่นตุกติกลับหลังแบบนี้!

อีกทั้งการเล่นตุกติกในครั้งนี้ไม่ได้ต่อกรกับตนเอง แต่ต่อกรกับผู้มีพระคุณ!

มันจึงทำให้เธอรู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก จึงโพล่งถามออกไปว่า“ทำไมคุณต้องส่งคนมาลอบฆ่าผู้มีพระคุณด้วย?!”

ซูเฉิงเฟิงพบว่าสรรพนามที่ซูจือหยูเรียกตนเอง เปลี่ยนจาก“ท่าน”กลายเป็น“คุณ”ไปแล้ว เขาตระหนักได้ว่าเธอต้องโกรธมากแน่ๆ จึงรีบอธิบายว่า“นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของปู่นะ มันเป็นเพราะไอ้หมอนั่นที่ไม่รู้จักผิดชอบชั่วดี ต้องการชนะให้ได้……”

ซูจือหยูถามกลับ“คุณคิดว่าฉันจะเชื่อคุณงั้นหรอ?แม้แต่แม่ของฉันคุณยังลงมือฆ่าได้อย่างโหดเหี้ยมเลย นับประสาอะไรกับผู้มีพระคุณ?”

ซูเฉิงเฟิงรู้ดีว่าตนเองแก้ตัวไปอย่างไรก็ไม่มีความหมาย ดังนั้นจึงพูดอย่างทำอะไรไม่ได้ว่า“จือหยู ตอนนี้พูดอะไรไปก็ไม่มีความหมายแล้ว ปู่รับรองได้ว่า จากนี้จะไม่ทำความผิดแบบนี้อีกแล้ว หวังว่าแกจะช่วยไปพูดกับผู้มีพระคุณคนนั้นหน่อย……”

ถึงแม้ในใจของซูจือหยูจึงรู้สึกโกรธมาก แต่เมื่อคิดถึงเรื่องที่เย่เฉินมอบหมาย น้ำเสียงของเธอก็ผ่อนลงมาเล็กน้อย และพูดขึ้นมาว่า“ตอนนี้หนูกำลังคุยกับนางาฮิโกะ อิโตะแห่งตระกูลอิโตะที่โรงแรมป๋ายจินฮ่านกง ทางด้านผู้มีพระคุณหนูยังไม่แน่ใจ แต่รอหนูคุยกับคุณอิโตะเรียบร้อยแล้ว หนูจะพยายามไปพูดขอความเมตตาจากผู้มีพระคุณค่ะ”

พูดจบ ซูจือหยูก็กล่าวเตือนว่า“คุณปู่คะ มีเรื่องหนึ่งหนูต้องพูดให้ชัดเจน ผู้มีพระคุณช่วยชีวิตหนูไว้ถึงสองครั้ง และเคยช่วยพี่ชายกับแม่ของหนูไว้ด้วยเหมือนกัน เขามีพระคุณต่อหนูมาก ในใจของหนู เขาสำคัญมากกว่าคุณปู่!”

ถึงแม้ซูเฉิงเฟิงจะรู้สึกไม่สบอารมณ์มากแค่ไหน แต่ตอนนี้เขาก็ไม่กล้าพูดอะไรมาก

เขารู้ดีที่ซูจือหยูพูดเป็นสิ่งที่มาจากความในใจจริงๆ และในความคิดของซูจือหยูตน ไม่ใช่คุณปู่ที่รักและเอ็นดูเธอต่อไปแล้ว แต่เป็นศัตรู ดังนั้นซูจือหยูพูดเรื่องแบบนี้ออกมา เขาจึงไม่รู้สึกแปลกใจอะไร

แต่ทว่า เขากลับแปลกใจในท่าทีที่ชัดเจนของซูจือหยู ดูท่า ลักษณะนิสัยในการจัดการเรื่องของหลานสาวคนนี้ของตน จะเรียบง่ายและมุทะลุมากขึ้น

ถึงแม้จะไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก แต่เมื่อซูจือหยูได้ยินว่าซูจือหยูจะพยายามช่วยพูดให้ตน เขาจึงโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง

เขาจึงบรรลุเป้าหมาย และไม่ได้พัวพันกับปัญหานี้ต่อไป เปลี่ยนบทสนทนาในทันที“จริงด้วยจือหยู แกคุยกับนางาฮิโกะ อิโตะเป็นยังไงบ้าง?ไอ้หมอนี่ก่อนหน้านี้คิดอยากจะร่วมงานกับเรามาโดยตลอด เขาอยากจะตีตลาดออกนอกเอเชีย ให้ธุรกิจเดินทางไปทั่วโลก แต่หลังจากที่เกิดเรื่องขึ้นที่โตเกียวครั้งนั้น ดูเหมือนจะไม่เห็นเราอยู่ในสายตาแล้ว”