เมื่อตู้ไห่ชิงได้ยินอย่างนั้น ก็พูดเหมือนคิดอะไรอยู่“จากที่ลูกวิเคราะห์มา ผู้หญิงตระกูลกู้คนนั้น มีความเป็นไปได้เก้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่จะมาที่จินหลิงเพราะเย่เฉิน”

ทันใดนั้นซูจือหยูก็รู้สึกร้อนใจขึ้นมาในทันที

“ตอนแรกคิดว่า ภรรยาของผู้มีพระคุณคือคู่แข่งคนสำคัญ แต่คิดไม่ถึงว่า ยังมีกู้ชิวอี๋ที่ดาวรุ่งพุ่งแรงที่ดังทั่วโลกอีกคน……”

“อีกทั้ง กู้ชิวอี๋โดดเด่นกว่าหนูมาก……”

“ยิ่งไปกว่านั้น ตระกูลกู้กับตระกูลเย่เป็นเพื่อนกัน กู้ชิวอี๋กับเย่เฉินมีสัญญาหมั้นหมายกันนานแล้ว เมื่อเทียบกันแล้ว หนูไม่มีความโดดเด่นอะไรเลย……”

ตู้ไห่ชิงเห็นว่าซูจือหยูมีท่าทีผิดหวัง จึงพูดปลอบใจว่า“จือหยู ลูกอย่าคิดมากเลย เรื่องความรัก ไม่ได้วัดกันที่ใครโดดเด่นกว่ากันหรอกนะลูก คนบางคนมีจุดเด่นมากมายแต่ก็ไม่เห็นว่าจะชนะใจใครได้ แต่บางคน ไม่มีจุดเด่นอะไรเลยแต่กลับเป็นผู้ชนะที่ยืนอยู่คนสุดท้าย”

ซูจือหยูพยักหน้าเบาๆ เธอเองก็คาดเดาได้ว่าผู้ชายอย่างเย่เฉิน จะต้องเป็นที่ต้องตาต้องใจของผู้หญิงแน่นอน ดังนั้นเมื่อคิดอย่างละเอียดแล้ว เธอจึงไม่รู้สึกว่ากู้ชิวอี๋เป็นอุปสรรคอะไรมากนัก

เวลานี้เอง ตู้ไห่ชิงที่อยู่ข้างจู่ๆก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามกับเธอว่า“จือหยู ผู้หญิงตระกูลกู้คนนั้นจัดคอนเสิร์ตวันไหนน่ะ?”

ซูจือหยูตอบ“อีกสามวันค่ะ”

ตู้ไห่ชิงครุ่นคิด แล้วโพล่งออกไปว่า“อีกสามวันเป็นเดือนสองวันที่สองตามปฏิทินจันทรคติใช่ไหม?”

ซูจือหยูส่ายหัวไปมา“หนูไม่รู้ค่ะ ปกติไม่ค่อยจำปฏิทินแบบจันทรคติ”

ตู้ไห่ชิงล้วงมือถือออกมาดู จากนั้นก็พูดอย่างมั่นใจว่า“ใช่แล้ว มันคือวันที่สองเดือนสองมังกรยกหัว ถึงว่าล่ะทำไมเธอถึงเลือกจัดคอนเสิร์ตที่จินหลิง”

ซูจือหยูถามอย่างแปลกใจ“แม่คะ วันที่สองเดือนสองตามปฏิทินจันทรคติมันพิเศษตรงไหนคะ?”

ตู้ไห่ชิงพูดอย่างจริงจังว่า“วันที่สองเดือนสองตามปฏิทินจันทรคติเป็นวันเกิดของเย่เฉิน”

ซูจือหยูยิ่งงงเข้าไปใหญ่“แม่คะ ทำไมแม่ถึงรู้วันเกิดของผู้มีพระคุณคะ?”

ตู้ไห่ชิงฝืนยิ้ม แล้วพูดว่า“เมื่อลูกรักใครสักคนจริงๆ จะจดจำทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัวเขาอย่างไม่รู้ตัว กระทั่งจะใส่ใจข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขา แม่รักเย่ฉางอิงมาตั้งนานหลายปี จะไม่รู้วันเกิดลูกชายของเขาได้ยังไง”

เมื่อซูจือหยูเห็นว่าแม่ของเธอมีท่าทีเศร้าลงมาเล็กน้อย เธอจึงค่อยๆเข้าไปโอบกอดเธอไว้ แล้วพูดอย่างยิ้มๆว่า“แม่คะ ลุงเย่มีผู้หญิงที่รักเขาอย่างสุดหัวใจอย่างคุณแม่ เป็นความโชคดีของเขาค่ะ”

ตู้ไห่ชิงหัวเราะ และพูดว่า“เอาล่ะไม่พูดเรื่องพวกนี้แล้ว แม่พาลูกเข้าไปดูข้างในดีกว่า ดูสิว่าลูกชอบห้องไหน”

ซูจือหยูหัวเราะไปด้วยพูดไปด้วยว่า“หนูจะเอาห้องที่ผู้มีพระคุณเคยพักค่ะ!”

……

ตอนนี้ ที่โรงแรมป๋ายจินฮ่านกง

หลังจากที่เย่เฉินได้คุยกับซูจือหยูเรียบร้อยแล้ว และได้คุยโทรศัพท์กับกู้ชิวอี๋เสร็จ เขาไม่ได้รีบจากไปไหน แต่ด้วยมารยาท เขาให้คนไอเรียกนางาฮิโกะ อิโตะกลับมา เพื่อพบกับเขา

ครั้งนี้ซูจือหยูมาพบเขา เนื่องจากยืมใช้ชื่อของนางาฮิโกะ อิดตะ ยังต้องลำบากให้เอมิ อีโตะไปรับส่งอีก ดังนั้นมันจึงถือว่าเป็นบุญคุณไม่มากก็น้อย

นางาฮิโกะ อิโตะนั่งอยู่บนรถเข็น เขาถูกเอมิ อีโตะส่งกลับมาที่ห้องเพรสซิเดนเชี่ยวสวีทที่เขาจองไว้ เมื่อเขาเห็นเย่เฉิน ก็หัวเราะไปด้วยพูดไปด้วยว่า“คุณเย่ครับ ช่วงนี้สบายดีไหมครับ?”

เย่เฉินเขาสีหน้าสดใสไม่เลว จึงยิ้มเบาๆ“รบกวนคุณอิโตะแล้วครับ ช่วงนี้ผมสบายดีครับ”

พูดจบ เขาก็เห็นข้างหลังของนางาฮิโกะ อิโตะ มีทานากะ โคอิจินั่งอยู่รถเข็นคันที่อยู่ข้างๆ จึงพูดอย่างยิ้มๆกับเขาว่า“คุณทานากะ ไม่เจอกันนานเลยนะครับ”

ในฐานะที่เป็นผู้ที่ภักดีกับนางาฮิโกะ อิโตะที่สุด ทานากะ โคอิจิที่ถึงแม้จะถูกตัดขาไป แต่ก็ยังคงเป็นผู้ที่รับใช้ใกล้ชิดนางาฮิโกะ อิโตะเหมือนเดิม นางาฮิโกะ อิโตะซาบซึ้งช่วยชีวิตเขาไว้ ดังนั้นถึงทานากะ โคอิจิจะพิการไป แต่ไม่ว่าจะไปที่ไหนก็จะพาเขาไปด้วยทุกที่ มันเป็นความรู้สึกที่มากกว่าเจ้านายกับลูกน้องมันกลายเป็นเหมือนสหายไปแล้ว

เมื่อทานากะ โคอิจิเห็นว่าเย่เฉินทักตนเองก่อน จึงเหมือนได้รับความเมตตา“คุณเย่สวัสดีครับ!ไม่เจอกันนานเลยนะครับ คิดไม่ถึงว่าคุณยังจำผมได้……”

เย่เฉินหัวเราะ“ผมความจำไม่ได้แย่ขนาดนั้นนะครับ จะจำคุณไม่ได้ได้ยังไง”

พูดจบ เขาก็ถามนางาฮิโกะ อิโตะว่า“ไม่ทราบว่าทั้งสองท่านมาที่หัวเซี่ยช่วงสองสามวันนี้รู้สึกอย่างไรบ้างครับ?