หลังจากที่เย่ฉางหมิ่นเดินทางออกจากจินหลิง ขอแค่ได้ยิน“จินหลิง”สองคำนี้ เขาก็รู้สึกขนลุกไปทั้งตัว

ในใจของเธอเห็นจินหลิงเป็นวอเตอร์ลูสำหรับเธอมาตลอดชีวิต อีกทั้งอาจจะเป็นวอเตอร์ลูที่ไม่สามารถหวนคืนมาได้อีกแล้ว ก้นบึ้งหัวใจของเธอเหมือนกับมีหลุมดำที่ราวกับเป็นเรื่องฝังใจ

เมื่อจงเจิ้งทาวได้ยินน้ำเสียงของเย่ฉางหมิ่นไม่ค่อยเป็นตัวเอง จึงรีบถามว่า“ฉางหมิ่น จินหลิงเป็นอะไร?มีปัญหาอะไรไหม?”

เย่ฉางหมิ่นถามอย่างไม่รู้ตัวว่า“เมื่อกี้คุณบอกว่า เทียนหยู่ถูกคนลักพาตัวไปที่โรงแรมป๋ายจินฮ่านกงงั้นหรอคะ?”

“ใช่น่ะสิ!”จงเจิ้วทาวรีบพูดขึ้นมาว่า“ข่าวรายงานกลับมาว่า มีคนถูกพาเข้าไปในโรงแรมป๋ายจิยฉ่านกงจริงๆ ผมก็ไม่รู้ว่าเรื่องนี้เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเย่ไหม แต่โรงแรมป๋ายจินฮ่านกงเป็นกิจการตระกูลเย่ของพวกคุณไม่ใช่หรอ?ดังนั้นผมเลยอยากให้คุณช่วยสืบหน่อยน่ะ ว่าตกลงมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่……”

เมื่อเย่ฉางหมิ่นได้ยินดังนั้น เธอแทบจะสามารถแน่ใจได้ในทันทีว่า เรื่องลักพาตัวเป็นฝีมือของจงเทียนหยู่ จะต้องเกี่ยวข้องกับเย่เฉินแน่นอน

ไม่อย่างนั้น จากตัวตนของเฉินจื๋อข่าย เขาไม่กล้าลงมือทำอะไรจงเทียนหยู่หรอก

เมื่อคิดถึงตรงนี้ เธอก็อดถามจงเจิ้งทาวไม่ได้ว่า“เทียนหยู่ไปล่วงเกินอะไรใครไว้รึเปล่าคะ?”

“ล่วงเกิน?”จงเจิ้งทาวพูดอย่างอึดอัดใจว่า“เด็กคนนี้มีเรื่องกับคนไปทั่ว ปากไม่มีหูรูด แต่เขายังแยกแยะได้ ถ้าจะให้ไปยุ่งกับคนที่เขาไม่สามารถยั่วยุได้ เขาต้องไม่กล้าทำแน่ๆ”

พูดจบ จงเจิ้งทาวก็พูดขึ้นมาอีกว่า“ผมกลัวว่าเขาจะไปยุ่งกับคนที่ไม่มีสมองไม่สนใจอะไร ถ้าอีกฝ่ายโกรธจัด ไม่สนว่าเขาเป็นใคร ไม่สนเบื้องหลังของตระกูลจง แค่อยากจะจัดการกับเขาเท่านั้น แบบนี้มันจะแย่เอานะครับ”

จากนั้น จงเจิ้งทาวก็ใช้น้ำเสียงขอร้องอ้อนวอนว่า“ฉางหมิ่น รบกวนคุณหน่อยได้ไหม โทรหาคนที่รับผิดชอบของตระกูลเย่ที่อยู่จินหลิงถามหน่อยได้ไหม?”

เย่ฉางหมิ่นลังเลอยู่ครู่หนึ่ง พูดอย่างไม่มั่นใจว่า“ได้ค่ะ……ฉันจะไปสืบดูก่อนนะคะว่าเหตุการณ์มันเป็นยังไง”

“ได้ครับ!”จงเจิ้งทาวถอนหายใจอย่างโล่งอก แล้วรีบพูดขึ้นมาว่า“ฉางหมิ่น คุณชอบหยกไม่ใช่หรอ ผมให้คนไปซื้อสร้อยข้อมือหยกจักรพรรดิจากคนพม่ามาหนึ่งเส้น ส่งไปที่เย่นจิงแล้ว คุณดูนะครับว่าว่างวันไหน แวะมาลองที่บ้านผมหน่อย?”

เย่ฉางหมิ่นรู้สึกดีใจเล็กน้อย เธอแสร้งถามว่า“เจตนาของคุณคือการอยากให้ฉันไปลองสร้อยข้อมือ หรืออยากหลอกให้ฉันไปที่บ้านคุณหรอคะ?”

จงเจิ้งทาวหัวเราะแล้วพูดว่า“ใช้คำว่าหลอกได้ยังไงกันครับ วันนี้เทียนหยู่ไม่อยู่พอดีไม่ใช่หรอ ถ้าสามารถยืนยันได้ว่าเด็กคนนี้ไม่เป็นอะไร ต่อไปหลายวันมานี้เขาอยู่ที่จินหลิง เราสองคนจะได้อยู่ด้วยกันหลายๆวันหน่อยไงครับ”

เย่ฉางหมิ่นพูดอย่างยิ้มๆ“ได้ค่ะ!เดี๋ยวฉันจะโทรถามคนทางฝั่งจินหลิงดูนะคะ น่าจะไม่มีปัญหาอะไร”

จงเจิ้งทาวกล่าวอย่างยินดีปรีดาว่า“ดีจังเลยครับ!ผมจะรอข่าวดีจากคุณนะครับ!”

เย่ฉางหมิ่นจึงพูดว่า“ได้ค่ะ งั้นฉันวางสายก่อนนะคะ ฉันจะโทรไปถามดู”

เย่ฉางหมิ่นวางสายเสร็จ ในใจของเธอก็รู้สึกไม่ค่อยมีความมั่นใจเท่าไรนัก

เธอคิดในใจ“ถ้าจงเทียนหยู่ล่วงเกินเย่เฉินขึ้นมาจริงๆ งั้นฉันคงไม่มีทางช่วยหรอก……”

“เนื่องจากเย่เฉินไอ้หมอนี่แม้แต่ฉันที่เป็นอาแท้ๆยังกล้ากักขังเลย นับประสาอะไรกับเพลย์บอยรวยๆคนหนึ่งที่ไม่มีความเกี่ยวข้องทางสายเลือดอะไรกับเขา?”

แต่พอเธอหวนกลับมาคิด“ไม่ว่าจะมีทางช่วยหรือไม่ โทรไปถามให้รู้เรื่องก่อนดีกว่าว่าเรื่องมันเป็นมายังไง เนื่องจากเหล่าจงลงทุนโทรมาหาฉันแล้ว เรื่องที่ควรพยายามทำก็ยังต้องทำอยู่ดี”

ช่วงหลายปีมานี้ เย่ฉางหม่นกับจงเจิ้งทาวพวกเขาสองคนได้รักษาความสัมพันธ์แบบชายหญิงที่ไม่เหมาะสม

ภรรยาของจงเจิ้งทาวเสียชีวิตไปนานแล้ว หลายปีมานี้เขาเอาแต่เที่ยวดงดอกไม้ ยุ่งกับผู้หญิงมาไม่น้อย สำหรับเย่ฉางหมิ่น ยิ่งอยู่เธอก็ยิ่งรังเกียจครอบครัวฝั่งสามีของตัวเองขึ้นเรื่อยๆ สามีก็ไร้น้ำยา ดังนั้นเธอหมดรักสามีมานานแล้ว

เดิมทีเย่ฉางหมิ่นอยากหย่ามาตลอด แต่คุณท่านตระกูลเย่คิดว่า ตอนนี้ลูกสาวอายุปาเข้าไปสี่ห้าสิบแล้ว ถ้าหย่าตอนนี้มันจะเป็นการหยามเกียรติ ดังนั้นเขาจึงไม่ยอมตกลงเป็นอันขาด

เย่ฉางหมิ่นทุ่มทั้งแรงกายและใจในการดูแลคุณท่าน ในเมื่อคุณท่านไม่อยากให้เธอหย่า เธอจึงไม่พูดถึงเรื่องนี้อีก