เธอแอบคิดในใจว่า“ทั่วทั้งจินหลิง นายมีเรื่องกับใครฉันก็สามารถช่วยนายได้ คนเดียวที่นายไม่ควรยุ่งด้วยก็คือเย่เฉิน แต่นายกลับไปมีเรื่องกับเย่เฉินเข้าจนได้……นายยังจะให้ฉันช่วยนายทวงคืนยุติธรรม นายรู้ไหมว่าตอนที่เย่เฉินขังฉันไว้ที่จินหลิง ไม่มีใครช่วยฉันเลย……”
จงเทียนหยู่เห็นเย่ฉางหมิ่นที่อยู่ปลายสายไม่พูดอะไร เขาจึงถามอย่างร้อนใจว่า“น้าเย่ครับ ฟังอยู่ไหมครับ?”
เย่ฉางหมิ่นได้สติกลับมาในทันที“ห้ะ?เอ่อ……ฉัน……ฉันกำลังฟัง……”
จงเทียนหยู่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้ เขาร้องไห้คร่ำครวญ“น้าเย่ครับ……นะ……น้าจะต้องช่วยผมด้วยนะครับ……ผะ……ผมโตขนาดนี้ ยังไม่เคย……ไม่เคยเจอ……เรื่องแบบนี้เลย!”
“อีกทั้ง……อีกทั้งพวกเขาไม่ใช่แค่หยามเกียรติผม ยะ……ยังตบตีผมด้วย!”
“ตอนนี้ผม……ถูกพวกเขาตบ……จนหน้าบวมหมดแล้ว……”
“และอีกไม่กี่วันผม…… ผมก็จะร่วมคอนเสิร์ตกับกู้ชิวอี๋แล้ว ปะ……ไปเป็นแขกรับเชิญพิเศษให้กับเธอ……”
“นะ……หน้าบวมขนาดนี้ ถึงเวลานั้นจะให้……จะให้ผมมีหน้าเจอคนได้ยังไง!”
“ถึง…………ถึงเวลานั้นผมคงไม่สามารถ……สวมหน้ากาก แสร้งเป็น……แสร้งเป็นหน้ากากนักร้องหรอกมั้งครับ……”
เย่ฉางหมิ่นที่อยู่ปลายสายได้ยินเขาร้องไห้แบบนั้น จึงรู้สึกหมดแรงมาก
เธอถอนหายใจ แล้วเอ่ยปากถามว่า“เทียนหยู่……ทำไมนายถึงไปมีเรื่องกับเย่เฉิน?”
จงเทียนหยู่ร้องไห้พูดว่า“ผม……ปมทะเลาะกับเขาไม่กี่คำในสายเอง ใครจะไปคิดว่าพอลงจากเครื่องจะถูกคนของเขาจับล่ะครับ……”
เย่ฉางหมิ่นพูดอย่างทำอะไรไม่ได้“เทียนหยู่ นายจะมีเรื่องกับใครในจินหลิงน้าช่วยนายได้หมดเลย แต่คนเดียวที่นายไปมีเรื่องไม่ได้ก็คือเย่เฉิน น้าไม่รู้จะช่วยยังไงจริงๆ!”
“ห้ะ?!”จงเทียนหยู่ถามโล่งออกไปอย่างไม่รู้ตัว“ทำไมล่ะครับน้าเย่!น้าเป็นคุณหนูใหญ่ของตระกูลเย่ เขาเป็นแค่ญาติห่างๆคนหนึ่ง น้ามีอะไรถึงพูดกับเขาไม่ได้ล่ะครับ?”
เย่ฉางหมิ่นกล่าวอย่างอึดอัดใจว่า“เทียนหยู่ เขาไม่ใช่ญาติห่างๆของตระกูลเย่ เขาเป็นลูกชายพี่รองเย่ฉางอิง ชื่อเย่เฉิน!”
เมื่อพูดออกไปเสร็จ สมองของจงเทียนหยู่ก็ดังวิ้งๆ
เย่ฉางอิงชื่อนี้ เขาเคยได้ยินในตอนเด็ก
สำหรับเย่เฉิน เขาไม่ค่อยรู้เรื่องเขาเท่าไรนัก
เขารู้แค่ว่าเย่ฉางอิงตายนานแล้ว มีลูกชายที่หายตัวไปนาน ไม่รู้ว่าเป็นหรือตาย
แต่เขาคิดไม่ถึงว่า ลูกชายของเย่ฉางอิง จะเป็นชายหนุ่มผู้หล่อเหล่าสง่างามที่อยู่ตรงหน้าของตัวเอง!
เขาตกใจมาก“ถึงว่าล่ะเขาไม่กลัวฉันเลย!ที่แท้เขาก็ไม่ใช่ญาติห่างๆของตระกูลเย่ แต่เป็นลูกหลานของตระกูลเย่!เป็นหลานชายแท้ๆของคุณท่านตระกูลเย่ เย่โจงฉวน!”
เมื่อคิดได้ดังนั้น สองขาของเขาก็อ่อนลงในทันที อ่อนจนขาสั่นพั่บๆไม่หยุด
แต่ว่า จู่ๆเขาก็นึกอะไรขึ้นมาได้ เขาร้องไห้แล้วพูดว่า“น้าเย่ครับ จากที่คุณน่าพูดมา เย่เฉินก็เป็นหลานชายแท้ๆของคุณน้าน่ะสิครับ น้าเป็นอาแท้ๆของเขา ช่วยผมพูดกับเขาหน่อยนะครับ ให้ปล่อยผมไปสักครั้ง……”
จงเทียนหยู่ไม่ใช่คนโง่ เขารู้ดีเย่ฉางหมิ่นมีความสัมพันธ์แบบนั้นกับพ่อของตัวเอง ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อยากมีแม้เลี้ยงในวัยยี่สิบกว่า แต่แม่เลี้ยงมีทั้งอิทธิพลและเงินทอง เขาจึงเห็นด้วยอยู่แล้ว ดังนั้นเขาจึงคิดว่า ในเมื่อเย่ฉางหมิ่นกับพ่อของตัวเองรักกัน เรื่องแบบนี้ถึงยังไงเธอก็ต้องช่วยตัวเอง
อีกทั้ง เขาไม่รู้สึกว่าเรื่องนี้มันจะเป็นเรื่องยาก
เนื่องจาก เย่ฉางหมิ่นเป็นอาแท้ๆของเย่เฉิน!
ถ้าอาแท้ๆพูดว่าจะยอมปล่อยเธอไป เขาคงไม่สามารถปฏิเสธได้หรอกมั้ง?
ถ้าเป็นตัวเขาเอง อาของตัวเองช่วยคนอื่นขอร้อง ตนจะต้องไว้หน้าเธอสักครั้งอย่างแน่นอน
แต่ว่า ในตอนที่เขาคิดว่า เรื่องนี้เย่ฉางหมิ่นจะต้องช่วยตัวเองจัดการได้แน่ เย่ฉางหมิ่นที่อยู่ปลายสายกลับพูดอย่างลำบากใจว่า“เทียนหยู่……เรื่องนี้น้าคงช่วยอะไรไม่ได้ ใจสู้แต่แรงไม่ยอมเป็นใจจริงๆ……”
จงเทียนหยู่ถึงกับมึนงง เขาโพล่งออกไปอย่างเหลือเชื่อว่า“น้าเย่ครับ ทำไมล่ะครับ?”
เย่ฉางหมิ่นกล่าวอย่างอึดอัดใจว่า“ถึงแม้เย่เฉินจะเป็นหลานชายของฉัน แต่ถ้าฉันช่วยนายพูดข้อร้อง ฉันคิดว่ามีแนวโน้มที่เขาจะไม่ไว้หน้าฉัน……ดีไม่ดี……ดีไม่ดีอาจจะ……”
จงเทียนหยู่รีบซักไซ้“น้าเย่ครับ ดีไม่ดีทำไมหรอครับ?”
เย่ฉางหมิ่นกล่าวอย่างทำอะไรไม่ได้“ถ้าฉันออกหน้าช่วยเธอขอร้อง ดีไม่ดีอาจจะทำให้ฉันซวยไปด้วย