เหงื่อเย็นๆ ของซูจือเฟยไหลพลั่กออกมาทันทีราวกับน้ำพุ เขาเอ่ยอย่างกระวนกระวายใจ: “ผู้…ผู้มีพระคุณ เงื่อนไขนี้ของคุณ…ผมไม่สามารถทำได้จริงๆ…ฝ่ายบัญชีของพวกเราไม่มีทางที่จะโอนเงินจำนวนมากตั้งแสนล้านไปยังบัญชีของกิจการอื่นได้ โดยที่ยังไม่ได้เห็นตัวสัญญาและยังไม่ได้ทำการประเมินความเสี่ยงเลย…”

เย่เฉินยิ้มอย่างเย็นชา: “เพราะว่าฝ่ายบัญชีของพวกนายไม่ยอมโอน หรือว่านายไม่มีเงินมากมายขนาดนั้นกันแน่ นายแจ้นมาที่นี่เพื่อคุยโวสิ่งสมมติขึ้นอย่างนั้นเหรอ?”

ซูจือเฟยกระวนกระวายใจจนมีเหงื่อออกเต็มหลัง เขาเอ่ยต่อว่า: “ผู้มีพระคุณ คุณเข้าใจผิดแล้ว ผมจะคุยเรื่องสมมติกับคุณได้ยังไง…ผมต้องการร่วมมือกับคุณจากใจจริง…”

เย่เฉินพยักหน้า ยิ้มพร้อมเอ่ยถามว่า: “ในเมื่อนายต้องการร่วมมือกับฉันจากใจจริง งั้นก็ให้ฝ่ายบัญชีของนายโอนเงินประกันการร่วมมือใส่บัญชีตี้เหากรุ๊ปหมื่นล้านก่อน ถ้าไม่มีเงินนี้ นายก็อย่าคิดจะกลับไป”

ซูจือเฟยตกใจกลัวยกใหญ่ เอ่ยต่อว่า: “ผู้มีพระคุณ…ผม…ผมจะไปหาเงินทุนตั้งหมื่นล้านมากมายขนาดนี้มาได้ยังไงในเวลาอันรวดเร็วแบบนี้!”

เย่เฉินยิ้มเย็นชา: “ทำไม? นายบอกว่าจะร่วมมือโปรเจกต์กว่าแสนล้านไม่ใช่หรือไง? โปรเจกต์กว่าแสนล้านก็จะทำแล้ว เงินทุนหมื่นล้านก็น่าจะมีหรอกใช่ไหม? ถ้านายไม่มีแม้แต่หมื่นล้าน งั้นยังจะแจ้นมาพูดเป็นดิบดีว่าจะร่วมมือกับฉันอีก นี่มันแสดงว่า นายจงใจมาหาฉันเพราะฆ่าเวลาเล่นเฉยๆ ไม่ใช่หรือไง?”

ซูจือเฟยเอ่ยอธิบายอย่างลนลาน: “ไม่…ไม่ใช่อย่างนี้นะ ผม…ผมอยากร่วมมือกับคุณจริงๆ …อยากร่วมมือด้วยจริงๆ !”

เย่เฉินพยักหน้า: “อยากร่วมมือด้วยจริงๆ ก็โอนเงินประกันมาก่อน เมื่อเงินถึงแล้วก็เริ่มร่วมมือกันทันที นายวางใจได้ ฉันจะไม่มีทางโกงเงินนายแม้แต่นิดเดียว เมื่อเงินเข้าบัญชีแล้วฉันก็จะเซ็นสัญญากับนาย ทำหลักฐานทางลายลักษณ์อักษร รับประกันความปลอดภัยของเงินทุนนาย”

ซูจือเฟยในเวลานี้ เมื่อเห็นเย่เฉินเอาแต่พูดถึงเงินหมื่นล้านไม่ยอมปล่อย ทั้งเนื้อตัวก็กระวนกระวายจนเหงื่อท่วมตัว ไม่แม้แต่จะกล้ามองหน้าเย่เฉินสักนิด

ในตระกูลซู เขาจะมีสิทธิ์แตะต้องเงินหมื่นล้านได้อย่างไร

หากให้เขาระดมทุนตอนนี้เลย คาดว่าหลังคิดหาทุกวิธีแล้วก็คงสามารถรวบรวมมาได้เพียงร้อยล้านเท่านั้น เงินจำนวนหมื่นล้านเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้โดยสิ้นเชิง

เย่เฉินเห็นว่าเขาไม่เอ่ยอันใด จึงได้ตะคอกเสียงดังอย่างเกรี้ยวกราดขึ้นมา: “พูดสิ! เป็นใบ้หรือไง!”

ซูจือเฟยสะดุ้ง รีบเอ่ยว่า: “ผู้มีพระคุณอย่าโกรธเลย…ตอนนี้ผมก็แค่มาเจรจาแนวทางการร่วมมือแทนตระกูลซูเท่านั้น แม้ว่าผมจะเป็นหลานชายคนโตของตระกูลซู สามารถเป็นตัวแทนคุณปู่เพื่อมาเจรจาเรื่องการร่วมมือได้ แต่ว่าผมไม่มีสิทธิ์ในการโอนจ่ายเงินทุนตามใจชอบได้จริงๆ ส่วนรายละเอียดการจัดสรรเงินทุนของการร่วมมือ จะต้องให้คุณปู่เห็นด้วยก่อนถึงจะได้ ขอแค่พวกเราร่วมมือกันสำเร็จ คุณปู่ไม่มีข้อคัดค้าน เงินโอนให้ทันทีแน่นอน…”

ซูจือเฟยคิดว่า ไม่ว่าอย่างไร ก็หลีกเลี่ยงวันนี้ไปก่อน

เพราะว่าเขาชัดเจนดีถึงความน่ากลัวของเย่เฉิน ถ้าวันนี้ผ่านไปไม่ได้ เช่นนั้น ตนก็จำต้องจบเห่แน่นอน

ดังนั้น เขาจึงรีบเอ่ยรับประกันกับเย่เฉิน: “แต่ว่าผู้มีพระคุณ คุณอย่าคิดมากเชียวนะ ผมและทั้งตระกูลซูต้องการที่จะร่วมมือกับคุณรวมถึงตี้เหากรุ๊ปจากใจจริงๆ ! ครั้งนี้ที่ผมมา ก็เพื่อมาเจรจาเรื่องร่วมมือ ไม่ได้มีเจตนาอย่างอื่นแน่นอน!”

เย่เฉินยิ้ม: “ในเมื่อนายบอกว่านายอยากร่วมมือจากใจจริง งั้นฉันก็มีคำถามที่อยากจะถามนาย”

ซูจือเฟย รีบเอ่ย: “ผู้มีพระคุณ กรุณาว่ามาเลย…”

เย่เฉินมองดูใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อของเขา เอ่ยถามอย่างสงสัยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า: “นายสืบรถทะเบียนรถของฉันทำไม?