“อะไรนะ?!”
เมื่อได้ยินเย่เฉินเอ่ยถามอย่างสงสัย ซูจือเฟยก็ราวกับหล่นลงไปอยู่ในบ้านน้ำแข็งทันที!
ในที่สุดเขาก็พบอย่างอนาถว่า เดิมทีตนนึกว่าเก็บซ่อนแรงจูงใจได้อย่างดีเยี่ยม ทว่าอันที่จริงตนความแตกตั้งนานแล้ว!
ขณะที่ตนเห็นกู้ชิวอี๋ลงมาจากรถ BMW ของเย่เฉิน จากนั้นก็สั่งให้คนไปตรวจสอบข้อมูลของรถ BMW คันนั้น ตนก็ถูกเปิดเผยอย่างราบคาบแล้ว!
อีกทั้งที่เขาคิดไม่ถึงยิ่งกว่าเดิมคือ เบื้องหลังเรื่องทุกอย่างนี้ กลับเป็นผู้มีพระคุณที่ครอบครองพละกำลังอันแข็งแกร่ง เคยช่วยเหลือตนและน้องสาว กระทั่งว่าเมื่อหลายวันก่อนได้ช่วยเหลือคุณแม่และน้องสาวอีกครั้งด้วย!
ชั่วเวลานี้ ซูจือเฟยจึงรับรู้ได้ว่า ตนถึงจะเป็นคนที่ไม่ประเมินกำลังของตัวเอง เอาไข่ไปกระทบหินผู้นั้น…
เมื่อนึกขึ้นได้ถึงพลังของเย่เฉินที่ไม่ธรรมดา และนึกถึงการหายตัวไปของอารอง การหายตัวไปของพ่อ รวมถึงการตายอันประหลาดของซวนเฟิงเหนียน อยู่ๆ ภายในใจของเขาก็ทะลักความหวาดกลัวอย่างแรงกล้าขึ้นมา!
เวลาต่อมา เขารีบไถลลงจากโซฟา คุกเข่าเสียงดังตุ้บต่อหน้าเย่เฉิน เอ่ยด้วยน้ำเสียงสะอึกสะอื้น: “ผู้มีพระคุณ! ผมผิดไปแล้ว! ผมผิดไปแล้วจริงๆ ! ต้องโทษที่ผมผีหลงสติปัญญาแท้ๆ ผมเห็นกู้ชิวอี๋ลงมาจากรถของคุณ เลยอยากสืบตัวตนของคุณ ถ้าผมรู้ว่ารถคันนั้นเป็นของผู้มีพระคุณ ต่อให้ผมจะมีความกล้าท่วมท้น ผมก็ไม่กล้าไปตรวจสอบรถของคุณหรอก…ผู้มีพระคุณกรุณาให้อภัยผมครั้งนี้ด้วย! ขอร้องคุณล่ะ!”
เย่เฉินยิ้มอย่างเย็นชา: “ซูจือเฟย นายต้องรู้นะ ว่าเดิมทีตัวนายก็ติดค้างชีวิตฉันไว้ยังไม่คืนเลย ตอนนี้ยังมีหน้ามาขอร้องให้ฉันไว้ชีวิตนายอีกงั้นเหรอ?”
เมื่อได้ยินตรงนี้ ซูจือเฟยก็ราวกับมีฟ้าผ่าลงทั่วทั้งตัว
เขาไม่สงสัยโดยสิ้นเชิง เพราะเย่เฉินสามารถปลิดชีวิตเขาได้อย่างง่ายดาย
อีกทั้ง ก็เป็นดั่งที่เย่เฉินเอ่ย ตอนนั้นเขาเคยช่วยเหลือชีวิตตนหนึ่งครั้ง
เขาสามารถช่วยเหลือตนได้ ก็สามารถฆ่าได้เช่นกัน ตามความสามารถของเขา บอดี้การ์ดที่อยู่ในห้องประชุมเหล่านั้น ไม่มีทางพอโดยสิ้นเชิง ดังนั้นต่อให้ตนจะร้องขอความช่วยเหลือก็ไม่มีความหมายอะไร มีความเป็นไปได้ว่าบอดี้การ์ดยังไม่ถึง ตนก็ตายไปแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงรีบก้มหัวขึ้นลงราวกับคนบ้าให้เย่เฉิน พลางเอ่ยด้วยเสียงสะอื้น: “ผู้มีพระคุณ คุณปล่อยชีวิตครั้งนี้ของผมไปเถอะ บุณคุณและคุณธรรมอันยิ่งใหญ่ของคุณ ผม ซูจือเฟยไม่กล้าลืม! ขอร้องคุณเห็นแก่ที่ผมไม่ได้เจตนาอกตัญญูคุณจริงๆ ปล่อยผมไปเถอะ หลังจากวันนี้ไป ผมจะต้องเป็นทาสตอบแทนบุญคุณที่คุณช่วยชีวิตผมแน่นอน!”
เย่เฉินโบกมือ: “เพลาๆ หน่อยเถอะ นายเข้าใจดี ว่าตัวนายเองไม่ใช่คนที่รู้จักบุญคุณคนแบบนั้นหรอก!”
“ผม…” ซูจือเฟยตกตะลึงไป เอ่ยแก้ตัวทันที: “ผมเป็นอย่างนั้น! ผมเป็นจริงๆ นะ! ผู้มีพระคุณ คุณเชื่อผมสิ!”
เย่เฉินยิ้มอย่างเย็นชา เอ่ยว่า: “ถ้านายรู้จักบุญคุณคนจริงๆ ก็ไม่มีทางเตรียมคอนเสิร์ตให้กู้ชิวอี๋อย่างแน่วแน่อยู่ที่จินหลิง ในยามที่แม่และน้องสาวของนายเป็นตายร้ายดียังไงก็ไม่รู้แบบนี้หรอก นายคิดว่าฉันไม่รู้จักคนอย่างนายเหรอ? นายและพ่อของนาย และปู่นายก็เป็นคนสันดานเดียวกันหมด ผลประโยชน์ของตัวเองอยู่เหนือกว่าทุกอย่าง เมื่ออยู่ต่อหน้าผลประโยชน์ของตัวเอง คนในครอบครัวไม่สำคัญทั้งนั้น แล้วนับประสาอะไรกับบุญคุณการช่วยชีวิตแค่นี้ล่ะ นายว่าจริงไหมล่ะ?”
ซูจือเฟยสั่นเทาไปทั้งตัว ร้องห่มร้องไห้ เอ่ยว่า: “ผู้มีพระคุณ…ที่คุณพูดมาจะไม่แก้ตัวใดๆ ทั้งสิ้น และไม่ปฏิเสธด้วย แต่ได้โปรดคุณเห็นแก่แม่ผมและจือหยูเถอะนะ ให้อภัยกับความสับสนชั่วขณะของผม จากนี้ไปผมจะต้องกลับตัวกลับใจใหม่ เป็นคนใหม่ ไม่มีทางเหยียบซ้ำรอยผิดเดิมของคุณพ่อและคุณปู่เด็ดขาด!”
เย่เฉิน ยิ้มอย่างเย็นชา โบกไม้โบกมือ: “ขอโทษทีนะ นายไม่มีโอกาสแล้ว!”
เย่เฉินไม่คิดจะทิ้งโอกาสใดๆ ให้ซูจือเฟยจริงๆ เพราะว่าครั้งนี้ ซูจือเฟยได้แตะต้องความพิโรธของเขาแล้ว
อีกทั้งเมื่อซูจือเฟยได้ยินที่เย่เฉินบอกว่าตนเองไม่มีโอกาสแล้ว เขาก็หดหู่จิตใจพังทลายลงทันที