ซูเฉิงเฟิงแทบจะโมโหจนระเบิดอยู่แล้วในเวลานี้

“เกิดอะไรขึ้น?”

“ฉันเพิ่งใช้ค่าชดเชยที่ยิ่งใหญ่ไป ถือว่าปลอบใจซูจือหยูที่เป็นตัวปัญหาไว้ได้ แต่ใครจะไปคิดไปฝันว่า วันเวลาที่สงบนี้ยังไม่ผ่านไปถึงสองวัน ซูจือเฟยที่หน้าตาหล่อเหลา กลับมาหักหลังเหมือนกัน”

ตอนนี้เขาไม่เข้าใจโดยสิ้นเชิง ว่าหลานชายที่สมควรตายคนนี้ของตนกินยาผิดอะไรเข้าไปกันแน่

เมื่อก่อนตอนที่ตนทำร้ายแม่และน้องสาวของเขา จนไม่รู้เป็นตายร้ายดีอย่างไร เขาก็ไม่ได้แตกหักกับตนเหมือนเช่นตอนนี้ กลับกักเก็บคำพูดไว้แล้วมาประจบประแจงอยู่ข้างกายตน

ตอนนี้เรื่องราวมันได้ผ่านไปแล้ว เจ้าเปี๊ยกนี่กลับเหมือนเพิ่งเรียกสติกลับคืนมาได้อย่างกะทันหัน เริ่มที่จะต่อต้านตนแล้ว

เมื่อนึกถึงว่าเจ้าหมอนี่ กล้าใช้วิธีเดินหมอบกราบหัวแตะพื้นไปจนถึงวัดต้าจาว เพื่อมาไถ่บาปอะไรนั่น ซูเฉิงเฟิงก็กระวนกระวายจนเหงื่อท่วมตัว

ซูจือเฟยในฐานะที่เป็นหลานชายคนโตของตระกูลซู ถ้าพรุ่งนี้เขาทำตามคำตัดสินใจนี้ของเขาจริงๆ ถ้าเช่นนั้นจำต้องดึงดูดความสนใจอย่างโหมกระหน่ำจากผู้คนทั่วประเทศแน่นอน

เมื่อถึงเวลานั้น หน้าตาของตระกูลซูก็คงไม่เหลือโดยสิ้นเชิง

อีกทั้งความชั่วเหล่านั้นที่เคยทำไป เกรงว่าคงต้องถูกคนรื้อฟื้นขึ้นมาแล้วตำหนิอีกแน่

เมื่อนึกได้ดังนี้ ซูเฉิงเฟิงก็ตะคอกอย่างโมโหว่า: “ซูจือเฟย! ไอ้หลานอกตัญญู! ถ้าแกกล้าทำอย่างนั้น งั้นฉันก็จะไล่แกออกไปจากตระกูลซู แกไม่ใช่หลานชายของฉันอีกต่อไป! จากนี้ไปแกจะเป็นตายร้ายดียังไง ก็ไม่เกี่ยวกับตระกูลซู ทรัพย์สมบัติล้านล้านของตระกูลซูก็ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแกโดยสิ้นเชิง แกไสหัวไปตายเองเถอะ!”

ซูเฉิงเฟิงคิดว่า คำพูดของตนถือว่ารุนแรงมากแล้ว อีกทั้งซูจือเฟยเป็นคนจำพวกที่ชอบให้ผู้อื่นอิจฉาและชื่นชม โลภมากมักใหญ่ใฝ่สูง ดังนั้นเขาต้องตกใจกับคำพูดตนแน่

ทว่าเขาจะไปรู้อะไร ซูจือเฟยในเวลานี้ถูกเย่เฉินสะกดจิตอย่างรุนแรงเอาไว้

ตอนนี้ในสายตาของเขา ทั้งตระกูลซูล้วนสกปรกจนถึงที่สุด อีกทั้งบาปทั้งหมดของตระกูลซูกำลังรอให้เขาทำการไถ่บาปโดยการเดินหมอบกราบหัวแตะพื้น ไปถึงวัดต้าจาวในวันพรุ่งนี้อยู่

ดังนั้นเมื่อเผชิญกับคำขู่ของซูเฉิงเฟิง ก็มีความรู้สึกเพียงว่าต้องการคุณธรรมสูงปะทุขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ได้พุ่งสูบฉีดอยู่ในกระแสเลือด!

เวลาต่อมา เขาก็ตบโต๊ะด้วยความเกรี้ยวกราด ตะคอกเสียงดุดัน: “ซูเฉิงเฟิงไอ้หมาแก่! แกมีชีวิตเสียเปล่ามา 76 ปี!”

“ทั้งชีวิตแกลาภยศครอบงำจนหน้ามืดตามัว กุมอำนาจใหญ่แห่งตระกูลซูไปจนตาย เพื่อผลประโยชน์ไม่สนว่าต้องฆ่าลูกชายตัวเอง ลูกสะใภ้แม้กระทั่งหลานสาวแท้ๆ สองคน สวรรค์ให้อภัยไม่ได้แน่นอน!”

“แกมันเลือดเย็นไร้ความเมตตา ไร้มนุษยธรรม ไม่คำนึงถึงจริยธรรมไม่สนใจความรู้สึกของคนในครอบครัว เป็นขี้กลากในสังคมจริงๆ ต้องถูกลงโทษให้สาสม!”

“ถ้าในตอนนี้แกยังมีสามัญสำนึกสักหน่อย ก็ควรที่จะไปมอบตัวที่สถานีตำรวจตอนนี้ซะ แล้วร้องขอให้กฎหมายประหารชีวิตแกซะ!”

“แต่ว่าหมาแก่ๆ อย่างแก จนถึงตอนนี้ก็ยังทำตามใจตัวเอง ไม่สะทกสะท้านใดๆ ! แอบทำเรื่องที่หน้าไม่อายอยู่อย่างลับๆ !”

“ฉัน…ฉันไม่เคยเจอใครที่หน้าหนา หน้าไม่อายขนาดนี้มาก่อน!”

ซูจือเฟยด่าทอไปด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ทำให้แม่และน้องสาวที่อยู่รอบๆ รวมถึงคนในครอบครัวคนอื่นๆ ต่างก็ต้องเบิกตาโตด้วยความอึ้ง

ส่วนซูเฉิงเฟิงที่อยู่ปลายสาย ไม่สามารถใช้คำว่าเบิกตาอึ้งมาบรรยายได้แล้ว เขาโมโหจนถึงขีดสุด รู้สึกเพียงว่าเลือดร้อนๆ กำลังเดือดพลุ่งพล่านขึ้นมา เส้นเลือดสมองที่ยึดทุกอย่างใกล้จะระเบิดเต็มทน

เขากุมหัวใจของตัวเองแน่นต่อหน้ากล้อง ตะคอกตะกุกตะกักอย่างเกรี้ยวกราดโดยควบคุมไม่อยู่ใส่ซูจือเฟยในตอนนี้: “แก…แก…แกมันสัตว์เดรัจฉาน! ฉัน…ฉัน…ฉัน…”

ยังพูดไม่จบ ซูเฉิงเฟิงก็ไอขึ้นมาอย่างแรง แทบจะไอจนสำลักขึ้นมา

เวลาต่อมา ซูเฉิงเฟิงก็รู้สึกว่ามึนหัวอย่างแรง ปวดหัวอย่างทรมานแทบจะทนไม่ไหว ต่อมาเขาก็เหลือกตาขึ้นบน และหมดสติไป

ใครจะไปคาดคิด ซูเฉิงเฟิงผู้นำตระกูลซูที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมานับต่อนับตลอดทั้งชาติ กลับถูกคำด่าทอเป็นชุดของหลานชายตัวเอง ทำให้เป็นลมหมดสติไปเลยเช่นนี้

ในเวลานี้ ซูอานสุ้นอยู่ๆ ก็ปรากฏเบื้องหน้าวิดีโอคอล

ตอนที่เขาได้ยินซูเฉิงเฟิงด่าซูจือเฟยว่าสัตว์เดรัจฉาน ก็รู้สึกได้ถึงความผิดปกติ จึงได้รีบวิ่งเข้ามา

เมื่อมาถึงแล้วก็เห็นซูเฉิงเฟิงเป็นลมไป จึงได้รีบควักวิทยุสื่อสารออกมา รีบตะโกนอย่างกระวนกระวาย: “คุณท่าน! คุณท่านเป็นอะไรไป?! คุณหมอล่ะ? รีบให้ทีมแพทย์มากันให้หมด คุณท่านเป็นลมไปแล้ว!”