สิ้นเสียง ก็เห็นซูจือเฟยที่กำลังวิดีโอคอลด้วย จึงรีบเอ่ยขึ้น: “คุณชาย คุณท่านเขาเป็นอะไรไปกันแน่?!”

ซูจือเฟยมองซูเฉิงเฟิงที่สลบหมดสติไป เอ่ยน้ำเสียงเย็นชา สีหน้าเย็นชาว่า: “เขาเหรอ? เขาทำความชั่วร้ายเอง ไม่สมควรมีชีวิตอยู่!”

ซูอานสุ้นมึนงงไป: “นี่มันอะไรกัน? นี่มันซูจือเฟยคนที่ชอบประจบประแจงตาแก่นั่น วอนขอความเมตตาคนนั้นหรือเปล่า? ทำไมกล้าพูดคำพูดแบบนั้นกับคุณท่านได้?!”

ซูอานสุ้นที่มีจิตใจการปกป้องเจ้านายสูงเกรี้ยวกราดขึ้นมายกใหญ่ ตะคอกต่อว่า: “ซูจือเฟย! นายมันสถานะอะไร ไม่นึกเลยว่าจะกล้าพูดกับคุณท่านแบบนี้! นายคิดจะเป็นกบฏงั้นเหรอ?!”

ซูจือเฟยเอ่ยอย่างเหยียดหยาม: “ถุย! ฉันจะเป็นกบฏของไอ้แก่นี้เนี่ยนะ? ฉัน ซูจือเฟยอับอายที่ต้องอยู่ร่วมกลุ่มเดียวกันกับเขาไปตลอดชีวิต!”

ขณะท่ีเอ่ยจบ ซูจือเฟยก็กดสายวางทันที

ทันใดนั้น ทั้งคฤหาสน์ตระกูลซูทั้งหลังก็ระเบิดลง

ส่วนทางจินหลิง คนคฤหาสน์หลังเก่าตระกูลตู้ก็สับสนงงงวยโดยสิ้นเชิง

ซูจือหยูมองพี่ชายตนเอง รู้สึกว่าน้ำตากำลังจะไหลรินลง

เมื่อสองวันก่อน เธอเพิ่งจะมั่นใจแล้วว่า อันที่จริงพี่ชายได้เล็งเป้าที่คุณปู่เรียบร้อยแล้ว

แต่เธอคิดไม่ถึงโดยสิ้นเชิง นี่มันเพิ่งผ่านไปไม่กี่วันเท่านั้น อยู่ๆ พี่ชายก็ราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ด่าทอคุณปู่ไปจนเละเช่นนี้…

ดังนั้น เธอจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามซูจือเฟย: “พี่ วันนี้พี่เป็นอะไรไป?!”

ซูจือเฟยมีสีหน้าที่ราบเรียบ เอ่ยด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า: “ฉันไม่ได้เป็นอะไร ก็แค่ไม่ชอบการกระทำของเขา!”

ซูจือหยูอึ้งไป ถามอีกว่า: “ถ้างั้นที่พี่บอกว่าเริ่มแต่วันพรุ่งนี้จะก้มกราบหัวแตะพื้นไปจนถึงวัดต้าจาว จริงจังหรือเปล่า? หรือว่าแค่พูดไปเท่านั้น?”

ซูจือเฟยขลึงตาใส่ซูจือหยู เอ่ยด้วยน้ำเสียงที่ไม่พอใจนัก: “แน่นอนว่าจริงจังน่ะสิ! ทำไมเธอสงสัยปณิธานของฉัน?! เธอคิดว่าคนอย่างซูจือเฟยจะล้อเล่นในสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์หรือไง?! หรือว่าในความคิดเธอ คนอย่างซูจือเฟยเป็นคนที่ชอบพูดเอาใจมวลชน กลับไปกลับมา พูดอะไรไม่เป็นอย่างนั้นเหรอ?!”

ซูจือหยูอยู่ๆ ก็ถูกพี่ชายด่าทอเข้าอย่างจัง ภายในหัวแทบที่จะมีเครื่องหมายคำถามนับแสนผุดขึ้นมา ภายในใจก็ยิ่งตกตะลึงจนหาที่เปรียบไม่ได้

เขายิ่งไม่เข้าใจมากขึ้น ว่าพี่ชายของตนเป็นอะไรไปกันแน่?!

“พี่ฉันสมองปัญญาอ่อนแล้วหรือไง?!”

“หรือว่าถูกมนตร์ดำ?!”

“หรือว่าถูกคนทำตุ๊กตาปลุกเสกใส่?!”

เธอที่คิดยังไงก็ไม่เข้าใจ มองไปยังตู้ไห่ชิงแม่ของตัวเองด้วยสายตาร้องขอความช่วยเหลือ

ตู้ไห่ชิงในเวลานี้ก็มึนงงไปทันที

เธอพบว่า ตนมองลูกชายที่เลี้ยงดูมา 20 กว่าปีนี้ไม่ออกเลย

ภายในความทรงจำของตน เขาไม่ใช่คนนิสัยเช่นนี้เลย

อย่าว่าแต่ชื่อของเขาชื่อว่าซูจือเฟย แต่อันที่จริง ตู้ไห่ชิงก็ชัดเจนดี ว่าเมื่ออยู่ในสภาพแวดล้อมใหญ่ในบ้านตระกูลซู ผู้ชายของตระกูลซูโดยทั่วไปแล้ว ไม่คำนึงถึงความถูกต้อง สนใจเพียงผลประโยชน์เท่านั้น

ดังนั้น ตอนนี้ซูจือเฟยอยู่ๆ ก็มีคุณธรรมระเบิดออกมา ผิดใจกับซูเฉิงเฟิง นี่มันราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคนอย่างไรอย่างนั้น!

ดังนั้น เธอจึงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยลองเชิง: “จือเฟย แกบอกแม่มาตามความจริง วันนี้แกเป็นอะไรไปกันแน่? ไปเจอเรื่องอะไรหรือว่าเจอเรื่องสะเทือนใจมาจากข้างนอกหรือเปล่า?”

“เปล่าครับ” ซูจือเฟยเอ่ยราบเรียบ: “ผมก็แค่อยู่ๆ ก็ตระหนักขึ้นมาได้ รับรู้ได้ว่าชีวิตคนเราไม่ควรท่ีจะตกต่ำลงไป! บาปของคนตระกูลซูมันหนามากจริงๆ ในฐานะหลานชายตระกูลซู ผมจะต้องยืนออกมา เพื่อไถ่บาปนี้ให้กับตระกูลซู!”

ตู้ไห่ชิงยิ่งสงสัยเข้าไปใหญ่ กลับเอ่ยโน้มน้าวอย่างจริงจัง: “ซูจือเฟย ที่แกสามารถชัดเจนในเรื่องนี้ได้แม่ชื่นใจมากจริงๆ แต่แกก็ไม่มีความจำเป็นที่จะต้องใช้วิธีที่เคร่งครัดแบบนี้กับตัวเองนะ เดินหมอบกราบหัวแตะพื้นไปจนถึงวัดต้าจาว เป็นระยะทางหลายพันกิโลเมตร ร่างกายของลูกรับไม่ไหวหรอก บวกกับทางนั้นเป็นพื้นที่ราบสูง ร่างกายตอบสนองต่อพื้นที่สูงอย่างรุนแรง อาจปลิดชีวิตลูกไปได้เลยนะ!”

ซูจือเฟยเอ่ย โดยไม่สนใจ: “เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหาเลย ผมไปไถ่บาป ไม่ได้ไปฆ่าตัวตาย เพราะงั้นผมเลยจะเตรียมคนติดตามไปด้วย กระทั่งหมอส่วนตัวไปด้วย ให้พวกเขารับประกันความปลอดภัยตลอดทางของผม”

ตู้ไห่ชิงอดไม่ได้ที่จะเอ่ยถามลองเชิง: “จือเฟย แกตัดสินใจแล้วจริงๆ เหรอ? ยังมีพื้นที่ว่างให้ถอยไหม?”

ซูจือเฟยลุกขึ้นมา เอ่ยด้วยสีหน้าเคร่งขรึมและแน่วแน่: “แม่ ไม่ต้องโน้มน้าวผมหรอก ผมตัดสินใจแล้ว!”