ครอบครัวเศรษฐีในสังคมปัจจุบันนี้ อันที่จริงไม่มีความแตกต่างอะไรกับระบบศักดินาสวามิภักดิ์แห่งจักรพรรดิชนชั้นสูงเลย
มาตรฐานการจัดการฝ่ายในของทุกตระกูล เหมือนกับราชวงศ์ของราชวงศ์ศักดินา
ภายในสภาพแวดล้อมอันพิเศษแบบนี้ สิ่งที่นำมาตัดสินตำแหน่งไม่ใช่อายุ ลำดับรุ่น แต่เป็นยศตำแหน่งและอำนาจ
ก่อนยังไม่เลือกว่าใครจะเป็นองค์รัชทายาท ระหว่างกษัตริย์โดยหลักการแล้วจะมีตำแหน่งเท่าเทียมกัน เพียงแค่ในนั้นเนื่องจากมีการแบ่งแยกระหว่างผู้สูงวัยและวัยเยาว์ จึงมีความแตกต่างเล็กน้อย
ทว่า ต่อให้จะเป็นลูกชายคนโต ก็เป็นเพียงพี่ชายขององค์ชายเท่านั้น ทว่าก็ยังรุ่นเดียวกับองค์ชายคนอื่นๆ เมื่อองค์ชายท่านอื่นเห็นเขา ก็ไม่มีทางที่จะกราบสามครั้ง คำนับเก้าครั้ง
ทว่า เมื่อได้เป็นองค์รัชทายาทเป็นผู้สืบทอดตระกูลแล้ว องค์ชายคนอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นพี่ชายหรือน้องชายของเขา เมื่อเห็นเขาก็จะต้องปฏิบัติตามมารยาทของผู้น้อยเคารพจักรพรรดิ และต้องทำตามคำสั่งของเขาทุกประการ
นี่ก็คือความแตกต่างของจักรพรรดิและข้าทาส
เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับซูจือหยูก็เหมือนกัน
ซูจือเฟยในตอนนี้เป็นพี่ชายที่เกิดจากแม่คนเดียวกัน
แต่หากซูจือหยูสืบทอดตระกูลซูต่อ ซูจือเฟยก็เป็นทาสของเธอ จะต้องทำตามที่เธอสั่งทุกประการ ต่อให้เป็นพ่อของเธอ ซูโสว่เต้า ก็เช่นกัน
ดังนั้น แม้ว่าเย่เฉินจะไว้ชีวิตซูโสว่เต้าและซูจือเฟยสองพ่อลูกนี้ ทว่าต้องรอให้ซูจือหยูสืบทอดตระกูลซูก่อน จึงจะปล่อยพวกเขาเป็นอิสระ
เพราะว่าเขาเชื่อในสายตาของตัวเอง ซูจือหยูไม่เหมือนกับคนอื่นในตระกูลซู ไม่มีทางที่จะทำเรื่องแก้แค้นอะไรแบบนั้นได้ ดังนั้นหากมีเธอเป็นผู้ที่ครอบครองอำนาจใหญ่ของตระกูลซู ตนก็ไม่ต้องเป็นห่วงว่าซูโสว่เต้าและซูจือเฟยสามารถเล่นแง่อะไรออกมาอีก
ซูจือหยูก็เข้าใจถึงความหมายของเย่เฉิน
ดังนั้น ในเวลานี้ ความซาบซึ้งใจที่เธอมีต่อเย่เฉินก็เพิ่มทวีคูณขึ้นอีกขั้นแล้ว
เย่เฉินเอ่ยกับเธอในเวลานี้ว่า: “ตระกูลซูเกิดเรื่องขึ้นต่อเนื่องกันเยอะขนาดนี้ ความกดดันของซูเฉิงเฟิงน่าจะใกล้จะรับไม่ไหวแล้ว สิ่งที่เธอต้องทำต่อไป ก็คือให้เขาปล่อยอำนาจและทรัพยากรที่มากขึ้นกว่าเดิมให้เธอ เพิ่มอำนาจในการออกเสียงในตระกูลซูให้เธอขึ้นเรื่อยๆ ”
ซูจือหยูเอ่ย: “ตอนนี้คุณปู่จะต้องไม่พอใจในตัวฉันแน่นอน ฉันคิดว่าจากนี้ไปเขาต้องป้องกันฉันไว้รอบด้านแน่นอน…”
“แล้วจะทำไม?” เย่เฉินอมยิ้ม เอ่ยว่า: “ตามความคิดของฉัน ความต้องการหลักของเขาในตอนนี้มีสองอย่าง หนึ่งคือไม่ต้องการส่งมอบอำนาจไป อีกอันหนึ่งคือไม่ต้องการให้ตระกูลซูแตกแยกหรือพัฒนาผิดทาง”
“พูดตามจริง อันแรกคือเขาต้องการที่จะรับประกันว่าในยามที่ตนกำลังมีชีวิตอยู่ สิทธิอำนาจของตระกูลซูจะไม่ได้รับคำข่มขู่ใดๆ อันหลังก็คือเขาหวังว่าหลังจากที่ตนตายไปแล้ว อำนาจที่สงบสุขมั่นคงของตระกูลซูจะสามารถสืบทอดต่อไปได้”
“แม้ว่าในใจของเขามีความไม่พอใจอยู่มากแน่นอน แต่ถ้าพิจารณาถึงอนาคตของตระกูลซู เขาหาทายาทสืบต่อท่ีดีกว่าเธอไม่ได้หรอก”
“เขาใกล้จะ 80 ปีแล้ว คำนวณเต็มๆ ก็คงเหลืออายุขัยเพียงสิบถึงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น ในช่วงเวลานี้ อาจมีเวลาครึ่งหนึ่งที่เป็นอัมพาตอยู่กับเตียง ขาดความสามารถในการเดินเหิน กระทั่งขาดความสามารถในการคิดวิเคราะห์”
“ดังนั้น เวลาที่เขาสามารถกุมอำนาจของตระกูลซู และคุมเส้นชีวิตของตระกูลซูได้จริงๆ ก็คงมีเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น ถ้าภายในเวลาสองสามปีนี้ ไม่รีบหาทายาทที่มีความสามารถสืบต่อสักคน อีกทั้งยังช่วยยึดมั่นตำแหน่งสืบทอดอย่างมั่นคงได้ เช่นนั้นหากเขาผ่านช่วงเวลาหลายปีนี้ไป ทั้งตระกูลซูก็คงเริ่มที่จะแตกแยกเป็นเสี่ยงๆ เมื่อถึงเวลานั้น เขามีความเป็นไปได้สูงที่จะนอนอยู่บนเตียง มองเห็นตระกูลซูแตกหักกับตาตัวเอง ถึงขั้นเข่นฆ่ากันเอง”
“หากมีโอกาส เธอต้องให้เขาเข้าใจความเป็นจริงนี้ ถามเขาว่า ยอมที่จะทำลายรากฐานของตระกูลซูมานานหลายทศวรรษ เพื่อความสะใจในสองสามปีสุดท้ายหรือไม่!”
ซูจือหยูรับคำสั่งสอน เอ่ยว่า: “ได้เลยผู้มีพระคุณ จือหยูเข้าใจแล้ว! ขอบคุณคุณมาก!”