ซูจือหยูรีบร้องขอความเห็นใจ: “ผู้มีพระคุณ พี่ชายคนนี้ของฉันเขาไม่มีประสบการณ์ทางสังคมอะไร บางครั้งก็จะทำเรื่องที่ผิดได้ง่าย ถ้าเขาทำส่วนไหนที่ผิดไป ผู้เป็นน้องอย่างฉันยินดีที่จะชดใช้ขอโทษแทนเขา…”

“ถ้าคุณยังไม่พอใจ จะตีเขา ด่าเขาก็ได้ แต่การที่ให้เขาเดินหมอบกราบหัวแตะพื้นไปจนถึงวันต้าจาว…เรื่องนี้มันเคร่งเกินไปแล้ว…”

“ระยะทางนี้เกือบ 4,000 กิโลเมตร ด้วยร่างกายของเขา ไม่ถึงสามสี่ปีก็ไม่มีทางถึงหรอก…”

เย่เฉินเอ่ยด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา: “ความผิดบางอย่างสามารถล่วงละเมิดได้ แต่ความผิดบางอย่างกลับทำไม่ได้ เขายื่นมือเข้ามาหาฉันและคนในครอบครัวฉัน เพียงแค่ประเด็นนี้ ฉันก็มีเหตุผลที่จะปลิดชีวิตเขาแล้ว อีกทั้งเธออย่าลืมไปซะล่ะ ว่าเดิมทีเขาก็ติดค้างฉันหนึ่งชีวิตด้วย เมื่อเอาสองเรื่องนี้มารวมกัน ตอนแรกฉันไม่มีเหตุผลที่ต้องไว้ชีวิตเขา แต่การท่ีฉันปล่อยเขาไปครั้งหนึ่ง มันก็เพราะว่าเห็นแก่หน้าเธอ”

“อีกทั้ง ฉันยังอนุญาตให้เขาพาคนติดตามไปด้วยได้ พาคุณหมอไปด้วยได้ เท่านี้ ทุกวันนอกจากที่เขาจะก้มกราบ เวลาอื่นๆ ก็สามารถกินดีๆ พักดีๆ นี่ก็เป็นการปฏิบัติกับเขาอย่างดีแล้ว เธอยังมีอะไรไม่พอใจอีก?”

ซูจือหยูถูกเย่เฉินถามจนชะงักไป ทันใดนั้นไม่รู้ว่าควรตอบอย่างไร

ในเวลานี้ เย่เฉินถามอีกว่า: “อีกอย่าง เธอก็ต้องทำความเข้าใจกับประเด็นนี้ด้วย พี่ชายของเธอคนนี้ ไม่ได้สนใจเธอกับแม่เลย เขาก็เหมือนกับพ่อเธอ ที่ยืนหยัดโดยไม่พึ่งความรู้สึก แต่ยืนหยัดด้วยการพึ่งพาผลประโยชน์ ถ้าเธอคิดที่จะเป็นผู้นำตระกูลซู ถ้างั้นสำหรับเธอแล้ว เขาก็เป็นภัยที่ใหญ่หลวงท่ีสุด”

“ฉันให้พวกเขาทั้งสองหายตัวไปสองสามปีชั่วคราว อีกทั้งกำลัง ‘ปกป้องเธอออกโรง ประคับประคองเธอไปสู่ความสำเร็จ’ อยู่นะ ไม่มีพวกเขาอยู่ที่นี่ เธอจะสามารถแสดงความสามารถของตัวเองไปยึดอำนาจใหญ่ตระกูลซูมาได้สะดวกยิ่งขึ้น!”

“ถ้าเธอสามารถสืบทอดตระกูลซูได้ภายในเวลาสามปี นำอำนาจใหญ่มาไว้กับตัว พ่อและพี่ชายของเธอ ถึงเวลานั้นก็จะกลับมาพอดี ก็สามารถยืมบารมีของเธอได้พอดี ถึงตอนนั้นเธอ ก็ให้บุญคุณเล็กๆ น้อยๆ กับพวกเขาในดินแดนใหญ่ตระกูลซูได้ตามใจชอบ ก็เพียงพอแล้วที่เขาจะกินดีอยู่ดี ใช้ชีวิตสงบไปทั้งชีวิต!”

“แต่ถ้าฉันปล่อยพวกเขาอยู่ที่นี่ พวกเขามีแต่จะกลายเป็นศัตรูของเธอ เป็นขวากหนามของเธอ กระทั่งว่ามีความเป็นไปได้ที่จะลงมือกับเธอ เนื่องจากผลประโยชน์”

“ถ้าฉันปล่อยพี่ชายเธอไว้ เธอก็จะต้องถูกสถานะหลานชายคนโตอย่างเขากดทับไว้ และพวกเธอสองคนพี่น้องก็จะต้องผิดใจกันในอนาคตเนื่องจากผลประโยชน์ในที่สุดแน่นอน!”

“แต่ว่าการท่ีฉันให้เขาจากไปสามปี รอเวลาที่เธอขึ้นมาเป็นผู้ชนะ เขาค่อยกลับมา เขาไม่ได้เป็นพี่ชายของเธออีกต่อไป แต่เป็นขี้ข้าของเธอ! เมื่อขี้ข้าอยู่ต่อหน้าเจ้านายต้องกราบสามครั้ง คำนับเก้าครั้ง!”

ซูจือหยูได้ยินคำตอบกลับของเย่เฉิน อยู่ๆ ก็ตกอยู่ในห้วงภวังค์

เธอรู้ดี ว่าเย่เฉินพูดถูก

“เมื่ออยู่ต่อหน้าสถานะผู้สืบทอดตระกูลซู ทุกคนล้วนเป็นศัตรูกัน!”

“พ่อและน้องชายน้องสาวของเขาล้วนเป็นศัตรู”

“ฉันและพี่ชายแท้ๆ ของฉัน รวมถึงลูกพี่ลูกน้องที่บ้านคุณอา ก็เป็นศัตรู”

“ถ้าพ่อและพี่ชายอยู่ที่นี่กันหมด พวกเขาก็ไม่มีทางยอมให้ตนนั่งอยู่บนตำแหน่งสูงของบ้านแน่นอน”

“เมื่อท้ายที่สุด ไม่แน่ว่าระหว่างสามคนก็อาจจะผิดใจกันเนื่องจากเรื่องนี้ก็ได้”

“แต่ว่า ถ้าฉันสามารถนั่งอยู่บนตำแหน่งผู้นำตระกูลได้อย่างมั่นคง เช่นนั้นขณะที่พวกเขากลับมาอีกครั้ง ทุกอย่างก็คงจบสิ้น ญาติพี่น้องของตระกูลซูมีนับร้อยคน แต่ผู้นำตระกูลมีได้เพียงคนเดียว ระหว่างสมาชิกคนอื่นกับเจ้าตระกูล มีความเหลื่อมล้ำที่ไม่อาจก้าวผ่านได้”

“เรื่องนี้ไม่ใช่เพียงความเหลื่อมล้ำเท่านั้น ก็ยังเป็นแม่น้ำป้องเมืองเช่นกัน ถ้าไม่มีแม่น้ำป้องเมืองอันนี้ ต่อให้เป็นพ่อแท้ๆ พี่แท้ๆ ไม่มีทางต่อต้านความล่อใจที่ผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่นำมาให้ได้…”

เมื่อคิดได้ดังนี้ เธอก็เข้าใจความพิจารณาอย่างลึกซึ้งของเย่เฉิน

“แม้จะบอกว่าผู้มีพระคุณลงโทษพี่ชาย แต่ก็อาจไม่ใช่เพราะฉันเสียทีเดียว แต่ว่าเรื่องนี้ถ้ามองดูภายนอกแล้ว มันเป็นการช่วยขจัดอุปสรรคไปให้ฉันได้จริงๆ ”

“อีกทั้ง ตามสไตล์การปฏิบัติของฉัน ฉันไม่มีทางที่จะขัดข้องใจเป็นศัตรูกับพ่อและพี่ชายได้ ตอนนี้ผู้มีพระคุณผลักพวกเขาออกไป ด้านหนึ่งก็เพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรคที่ตนอาจต้องเผชิญในอนาคต อีกด้านหนึ่งเขาก็รับประกันความปลอดภัยของพ่อและพี่ชาย ถือได้ว่าเป็นการยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว”

เมื่ออ่านถึงตรงนี้ ซูจือหยูจึงได้เอ่ยกับเย่เฉินทันที: “ผู้มีพระคุณ คุณ คิดทบทวนไปมาอย่างหนัก จือหยูเข้าใจแล้ว!”