ในตอนนี้เองเซียวเวยเวยก็เอ่ยพูดขึ้นมา “นี่พี่ พี่เองก็ใกล้จะสามสิบอายุปูนนี้แล้ว อย่ามองปัญหาเหมือนเด็กอย่างนี้สิ พี่ต้องรู้จักแยกแยะถูกผิด และยอมรับความจริง!”

เซียวเวยเวยพูดอย่างขุ่นเคือง “ครอบครัวของเราเปลี่ยนไปไม่เหมือนในอดีตแล้ว ในสถานการณ์อย่างนี้ มีแค่ต้องรอให้พี่กับพ่อหายดี แล้วหลังจากนั้นก็ต้องออกไปหางาน เพื่อเลี้ยงปากเลี้ยงท้องคนในครอบครัว ถ้าพี่ยังไม่รู้จักโตเป็นผู้ใหญ่ และยังขาดสติในการแยกแยะผิดชอบชั่วดีอยู่ล่ะก็ ในอนาคตพี่จะยืนด้วยตัวเองในสังคมได้ยังไง? ในวันข้างหน้าพี่ต้องมีครอบครัว ต้องมีการมีงาน และต้องมีลูกเพื่อสืบทอดทายาทนะ!พี่คงไม่คิดจะตัวเลื่อนลอยเหมือนอย่างตอนนี้ตลอดไปหรอกใช่ไหม?”

คำพูดของเซียวเวยเวย จี้จุดเบื้องลึกในใจของเซียวไห่หลงเข้าอย่างจัง

เขารู้ดีว่าเขามันอ่อนหัด ทำอะไรก็ไม่ได้เรื่อง เก่งแต่กินอย่างเดียว

เมื่อก่อนเขามีตระกูลเซียวคุ้มกะลาหัว เขาจึงกินอิ่มนอนหลับไม่มีเรื่องอะไรให้ต้องกังวล แถมยังปีกกล้าขาแข็งเพราะถือได้ว่าเป็นลูกคนรวย

แต่ว่าตอนนี้ ทุกอย่างกลับไปที่ศูนย์

ต่อไปนี้ไม่มีอะไรคุ้มกะลาหัวเขาได้อีกต่อไป และเขาก็ไม่สามารถนั่งกินลมกินแล้งได้อีกแล้ว ถ้ายังทำตัวเลื่อนลอยอยู่แบบนี้ สักวันก็คงเป็นเหมือนพวกกะล่อนปลิ้นปล้อนที่แก่แล้วยังหาคู่หมายไม่ได้ เสียเวลาไปทั้งชีวิต

น่าสมเพช น่าอนาถ และไร้ทางเยียวยา

คิดมาถึงตรงนี้ จู่ๆเซียวไห่หลงก็รู้สึกเสียใจ เขาเพิ่งตระหนักได้ในตอนนี้ ว่าแม้แต่ตัวเขาเองยังไม่รู้เลยว่าอนาคตข้างหน้าเขาจะไปอยู่ตรงไหน ทางข้างหน้ามันมืดมนไปหมด

เขาคิดในใจอย่างสิ้นหวัง “ตอนนี้น้องสาวมีการมีงานทำเพราะได้รับความช่วยเหลือจากเย่เฉิน ทั้งยังเป็นงานที่มีอนาคตก้าวไกล….”

“แล้วฉันล่ะ?”

“พอไม่มีบริษัทเซียวซื่อ หลังจากหายดี ฉันจะไปทำอะไรได้บ้าง?”

“ฉันไม่เคยเรียนวิชาเอกไหน ไม่มีทักษะอะไรแม้แต่อย่างเดียว อีกอย่างก็ไม่เคยหางานข้างนอกทำมาก่อน แม้แต่ประวัติการทำงานก็ไม่มี แล้วในอนาคตฉันจะหางานยังไง? จะไปทำงานอะไรได้?”

“ฉันจะถูกเขี่ยออกจากสังคมหรือเปล่า?!”

“อีกอย่างฉันก็อายุขนาดนี้แล้ว แฟนสักคนก็ยังไม่มี ตอนนี้สถานการณ์ในครอบครัวก็ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ถ้าแม้แต่งานยังหาไม่ได้ แล้วฉันจะเอาอะไรไปหาแฟน? ถ้าฉันต้องครองโสดจริงๆ พออายุสี่สิบก็คงไม่มีโอกาสได้กลับตัวแล้ว…..”

ยิ่งคิดเซียวไห่หลงก็ยิ่งสิ้นหวัง พอสิ้นหวังเข้ามากๆ เขาก็ไม่สามารถควบคุมตัวเองได้ ปล่อยให้ตัวเองร้องไห้โฮออกมา ทั้งร้องทั้งสะอื้นว่า “ต่อจากนี้ฉันจะทำยังไงดีฉัน…..”

เซียวฉางเฉียนที่อยู่ข้างๆเมื่อเห็นท่าทางของเซียวไห่หลง ก็อดที่จะถอนหายใจออกมาไม่ได้ “เอาล่ะ หยุดพูดเรื่องนี้ได้แล้ว เรื่องของแม่แกในตอนนั้น พวกเราเป็นฝ่ายผิดจริงๆนั่นแหละ ตอนนั้นเราทำให้หม่าหลันเสียเงินมากมายบนโต๊ะพนัน ถ้าตอนนั้นเรื่องนี้ไปถึงหูตำรวจ คดีที่เกี่ยวกับเงินมหาศาลขนาดนี้ ก็มากพอให้ฉันกับแม่แกติดคุกได้แล้ว ดังนั้นถ้าพูดกันตามความจริง แค่นี้ก็ถือว่าเย่เฉินให้โอกาสเรามากๆแล้ว….”

พูดจบ เขาก็มองาที่เซียวไห่หลง เอ่ยปลอบว่า “ไห่หลง แกอย่าเอาแต่ร้องไห้ขี้มูกโป่งเหมือนเด็กอย่างนี้สิ รอให้ร่างกายแกหายดี ก็ไปหางานทำจริงๆจังๆซะ ถ้ามันไม่ไหวจริงๆ เราสองพ่อลูก็ไปเป็นพนักงานส่งของด้วยกัน เดือนหนึ่งได้หลายพันอยู่นะ ขอแค่ทนลำบากได้และสู้งาน เราก็จะหาทางเอาชีวิตรอดได้!”

เซียวไห่หลงพยักหน้าทั้งๆที่ยังร้องไห้

เซียวฉางเฉียนเอ่ยขึ้นมาอีกว่า “พอถึงตอนนั้น แกเก็บเงินได้ พ่อก็จะช่วยแกเก็บ ให้น้องสาวแกช่วยอีกแรง จนครบแสนพอเป็นค่าสินสอด แล้วค่อยไหว้วานพ่อสื่อแม่ชักหาเมียให้แกสักคน ไม่ว่ายังไง ต้องมีทางออกให้เราแน่ๆ”