คำพูดของเซียวฉางเฉียน ไม่สามารถปลอบเซียวไห่หลงได้เลยจริงๆ
ตรงกันข้าม ที่เขาพูดมามันเกินกว่าความสามารถในทางปฏิบัติไปมาก ทำให้เซียวไห่หลงยิ่งรู้สึกสิ้นหวังกับอนาคต
เขาเคยคิดมาตลอดว่าตัวเองเจ๋งกว่าใคร คิดว่าในอนาคตตัวเองต้องชเป็นบุคคลยอดเยี่ยมอย่างแน่นอน รวมไปถึงภรรยาในอนาคตก็ต้องเป็นผู้หญิงที่โดดเด่นแถวหน้า ไม่เพียงแค่หน้าตาดี หุ่นเพอร์เฟ็ค แต่พื้นฐานครอบครัวต้องมีอำนาจด้วย
ดังนั้นเขาถึงเอาแต่ตามจีบต่งรั่งหลิน เพราะอยากเป็นลูกเขยของตระกูลต่ง
แต่ว่าตอนนี้ คำพูดของพ่อทำให้เขาตระหนักได้ว่า อนาคตของเขาไม่อาจเข้าไปเกี่ยวข้องกับผู้หญิงอย่างต่งรั่งหลินได้อย่างสิ้นเชิง
ในอนาคตกลัวก็แต่ว่าตัวเองจะต้องไปเป็นกรรมกรที่ต้องใช้แรงหาเงิน และคงหาคู่ชีวิตที่ถูกใจได้ยาก บางทีอาจจะต้องหาค่าสินสอดสูงๆ ถึงจะหาภรรยาสักคนได้
เพียงแค่จินตนาการถึงอนาคตของตัวเองตามภาพ เซียวไห่หลงก็รู้สึกว่ามันมืดมนไปหมด ไม่ต่างอะไรกับตกลงไปในหลุมดำ
ดังนั้น เขาจึงร้องไห้ออกมาหนักกว่าเดิม
ยิ่งเขาร้อง ในใจของเซียวฉางเฉียนก็ยิงเจ็บปวด
เขาอยากช่วยลูกชาย แต่ก็รู้ดีว่า อนาคตของตัวเขาเอง ก็ไม่ได้ดีไปกว่าลูกชายเท่าไหร่
โชคดีอยู่อย่างเดียว ที่อย่างน้อยเขาได้แต่งงานมีลูก แต่ถ้าเซียวไห่หลงยังไม่ขยัน อนาคตก็คงไม่ได้แม้แต่แต่งงาน
ดังนั้น เขาจึงอดทอดถอนหายใจออกมาไม่ได้ รู้สึกเชื่องซึมไปหมด
เซียวเวยเวยรู้สึกได้ถึงความกดดันของทั้งสอง จึงลูบขมับแล้วเอ่ยพูดว่า “ฉันจะไปทำกับข้าวในครัว”
พูดจบ ก็เดินอออกไปจากห้องนอนรวดเร็วเหมือนกำลังหนี
เดิมที เธอก็ว่าจะหาโอกาสเอาเข็มขัดไปวางที่กล่องจดหมายหน้าบ้านของเย่เฉิน แต่พอคิดถึงสภาพตกอับของครอบครัวตัวเอง ความรู้สึกต่ำต้อยก็ตีรวนอยู่เบื้องลึกในใจอย่างไม่อาจห้ามได้
หลังจากคิดได้ เธอก็ตัดสินใจเอาเข็มขัดไปคืน ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ต้องตั้งใจหาเงินอย่างจริงจัง
……
ขณะเดียวกัน เมื่อเย่เฉินกลับมาถึงห้องรับแขกในบ้าน ก็พบว่าภรรยาและพ่อตาแม่ยายยังคงอยู่ในครัว
ที่นายหญิงใหญ่เซียวมาเอะอะโวยวายเมื่อสักครู่ พวกเขาไม่ได้ยินอะไรเลยสักนิด เย่เฉินจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
แต่คิดว่าหลังจากเกิดเรื่องวันนี้ นายหญิงใหญ่เซียวรวมไปถึงเซียวฉางเฉียนและเซียวไห่หลง ต่อไปนี้คงหายเงียบไป
ครอบครัวนี้ มีแค่เซียวเวยเวยคนเดียวที่รู้จักสำนึกผิดและปรับปรุงตัว เย่เฉินจึงช่วยเหลือเธอได้อย่างไม่ติดใจอะไร
ส่วนสามคนที่เหลือ เย่เฉินไม่อยากสนใจพวกเขา ขอแค่อย่ามาสร้างปัญหาให้ เป็นตายยังไงเขาก็จะไม่เข้าไปยุ่งกับพวกเขาอีกเด็ดขาด
ทั้งบ่าย เซียวชูหรันกับพ่อแม่ทำอาหารด้วยกันจนอาหารเลิศรสวางเต็มโต๊ะ
เมื่อเซียวชูหรันเชิญเย่เฉินมาที่โต๊ะ ก็พบว่าบนโต๊ะอาหารมีเมนูรวมกันมากถึงสิบสองเมนู
เย่เฉินคิดไม่ถึง ว่าสามคนพ่อแม่ลูกจะทำอาหารไว้เยอะขนาดนี้ จึงอุทานออกมาว่า “ชูหรัน พ่อครับ แม่ครับ เรามีกันแค่สี่คนเอง ทำอาหารเยอะขนาดนี้ มันจะไม่สิ้นเปลืองเหรอครับ อีกอย่างทำเยอะขนาดนี้ ต้องลำบากกันมากแน่ๆ”
เซียวชูหรันปาดเหงื่อบนหน้าผาก พูดกลั้วยิ้มว่า “ดูเผินๆอาจเหมือนเยอะ แต่พอกินแล้วไม่เยอะหรอกน่า อีกอย่างนี่เป็นงานฉลองวันเกิดคุณนะ ก็ต้องจัดหนักหน่อยสิ แค่นี้ไม่ลำบากอะไรหรอก”
เซียวฉางควานยิ้มตาหยี “เย่เฉิน เรามาดื่มกันหน่อยไหม?”
เย่เฉินพยักหน้า เอ่ยพูดว่า “ผมดื่มด้วยอยู่แล้วครับ เดี๋ยวผมขอตัวไปหยิบไวน์ที่ห้องเก็บเหล้าก่อน”
หม่าหลันรีบพูดว่า “เย่เฉิน ฝากหยิบไวน์แดงให้ด้วยนะ เดี๋ยวฉันกับชูหรันดื่มด้วย”
“ครับ” เย่เฉินตอบรับ จากนั้นก็ถามเซียวชูหรันว่า “ที่รัก คุณดื่มได้ไหม?”
เซียวชูหรันพยกหน้า พูดยิ้มๆว่า “ไม่ดื่มก็ต้องดื่มแล้วล่ะ แต่ถ้าเราสองคนดื่มมากเกินไป เดี๋ยวจะขับรถไปดูตอนเสิร์ตไม่ได้นะ”
เย่เฉินเอ่ยพูด “ไม่เป็นไร ผมมีวิธีขับแอลกอฮอล์ออกจากร่างกายในเวลาสั้นๆ”