เมื่อเสียงบันทึกของกู้ชิวอี๋อ่านคำพูดพวกนี้หมดแล้ว แสงไฟทั้งหมดในศูนย์กีฬาก็สว่างขึ้นในทันที

วินาทีนี้ แฟนคลับมากมายก็ได้เจ็บปวดร้องไห้เสียใจโดยไร้เสียงอีกครั้ง

เพราะว่า ในใจพวกเธอรู้ดี เมื่อแสงไฟในงานทั้งหมดสว่างขึ้น นั่นก็คือช่วงเวลาที่ต้องแยกย้าย

ก็เหมือนกับตอนแยกย้ายหลังภาพยนตร์จบ แสงไฟสว่างขึ้น แล้วก็ประกาศว่าการแสดงจบลงแล้ว

อีกอย่าง เมื่อกี้กู้ชิวอี๋ก็ได้ใช้ตัวหนังสือที่เขียนด้วยตัวเองทำการบอกลากับทุกคนแล้ว ดังนั้น ที่เหลือก็คงไม่มีการกลับมาหรือเบื้องหลังรายการอะไรอีก

แฟนคลับทุกคนล้วนนั่งนิ่งเหม่อลอยอยู่กับที่ เพราะว่าพวกเขายังไม่ได้สติกลับมาจากคำพูดเมื่อกี้ที่กู้ชิวอี๋ทิ้งไว้

พวกเขาไม่สามารถยอมรับได้ ไอดอล เทพธิดาของตัวเอง จะประกาศออกจากวงการบันเทิงอย่างกะทันหันโดยไม่มีการเตือนกันสักนิดแบบนี้!

ต้องรู้ไว้ ว่ากู้ชิวอี๋อายุยังไม่ถึงยี่สิบห้าปี เธอในตอนนี้ กำลังอยู่ในช่วงขาขึ้นของการงาน ถ้าหากว่าพยายามต่อไปอีกไม่กี่ปี มีโอกาสมากที่จะสร้างอิทธิพลขั้นสูงของนักร้องคนจีนในขอบเขตทั่วโลกได้ และกลายเป็นนักร้องคนจีนที่ได้รับความนิยมมากที่สุดทั่วโลก

แต่ก็เป็นดาราดังคนนี้ที่อนาคตสดใส กลับเลือกที่จะออกไปอย่างถาวร สำหรับแฟนคลับแล้ว ไม่ใช่แค่ไม่ทันตั้งตัว แต่เป็นฟ้าถล่มชัดๆ!

แฟนคลับหญิงไม่น้อยที่ความอดทนในการแบกรับค่อนข้างเปราะบางได้ร้องไห้เจ็บปวดออกมาในวินาทีนี้

ส่วนแฟนคลับชายพวกนี้เองต่างก็โมโหอย่างมาก ถึงขั้นมีคนไม่น้อยที่กำหมัดแน่นจนเส้นเอ็นปูดขึ้นมา

พวกเขาทนไม่ได้ที่เทพธิดาของพวกเขา จะทอดทิ้งแฟนคลับที่ชอบเธอทั้งหมดเพียงเพราะผู้ชายคนเดียว

นี่ไม่เพียงแต่จะทำร้ายความรู้สึกของพวกเขา แต่ยิ่งเป็นการทิ่มแทงทำร้ายจิตใจของพวกเขา

เพราะว่าพวกเขารู้ ในสายตาของเทพธิดาของตัวเอง ผู้ชายทั้งโลกรวมกัน ก็คงจะเทียบไม่ได้กับเจ้าชายขี่ม้าขาวคนนั้นของเธอ

แม้แต่เซียวชูหรันเองก็ตะลึง เธอมองเวทีอย่างนิ่งอึ้ง ปากพึมพำเบาๆว่า “จะถอยออกอย่างนี้ได้ยังไงกัน? จะถอยออกอย่างนี้ได้ยังไงกัน?!ทั้งๆที่ยังมีโอกาสที่ดีมากแท้ๆ ทำไมต้องทิ้งหน้าที่การงานของตัวเองเพียงเพื่อผู้ชายคนเดียวละ? หรือว่าแต่งงานมีลูกก็ไม่สามารถร้องเพลงได้แล้วรึไง?”

คนที่มีความคิดเดียวกับเธอ มีอยู่ในงานนับหมื่น

ใครก็คิดไม่ออก ว่าทำไมกู้ชิวอี๋ต้องเสียสละมากขนาดนี้เพื่อผู้ชายเพียงคนเดียว

และในผู้คนนับหมื่นในงาน มีเพียงสามคนเท่านั้นที่สามารถเข้าใจกู้ชิวอี๋ได้อย่างแท้จริง

ในนั้นแน่นอนว่าต้องเป็นพ่อแม่ของเธอ นอกนั้นที่มีอยู่อีกคนไม่ใช่เย่เฉิน แต่เป็นอิโตะ นานาโกะ

เพราะว่าการสั่งสอนที่อิโตะ นานาโกกะได้รับมาตั้งแต่เด็ก ก็คือหลังจากที่บรรลุนิติภาวะแล้ว จะต้องพยายามเป็นแม่ศรีเรือนที่ดี

ส่วนนิสัยของตัวเอง ความชอบของตัวเองรวมทั้งหน้าที่การงานของตัวเอง เมื่ออยู่ต่อหน้าเป้าหมายนี้ก็ล้วนไม่สำคัญแล้ว

เพราะงั้น เธอในตอนนี้ ก็พึมพำในใจเช่นกันว่า “อิจฉาความกล้าของกู้ชิวอี๋จัง พูดสิ่งที่ตัวเองต้องการมากที่สุดออกมาต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ ถ้าหากว่าฟ้าให้โอกาสกับฉันสักครั้ง ให้ฉันกับเย่เฉินได้อยู่ด้วยกันไปชั่วชีวิตละก็ ฉันเองก็ยินดีจะทอดทิ้งทุกอย่างเหมือนกับเธอเช่นกัน….”

ส่วนเย่เฉิน กลับซึ้งใจต่อคำพูดสองท่อนสุดท้ายของกู้ชิวอี๋

เงินทั้งหมดบริจาคให้กับสมาคมกองทุนการกุศล ใช้ช่วยเหลือเด็กกำพร้าโดยเฉพาะ กู้ชิวอี๋ตัดสินใจแบบนี้ จะต้องเป็นเพราะที่ผ่านมาสิบกว่าปีเขาอยู่ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแน่นอน

สิ่งนี้ทำให้เขาอดถอนใจไม่ได้ กู้ชิวอี๋นึกคิดถึงเขาอยู่ทุกเมื่อทุกเวลาจริงๆ…