เมื่อสามปีก่อน เย่โจงฉวนไปเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้ประกอบการ ณ สวีเดน นั่นคืองานเลี้ยงสุดยอดผู้ประกอบการทั่วโลก ซึ่งผู้ประกอบการในประเทศที่จะมีสิทธิ์ถูกเรียนเชิญนั้นมีไม่เกินกว่าห้าคน หนึ่งในนั้นก็มีเขาหนึ่งคน ผู้ที่มาจากประเทศอื่น ก็ล้วนเป็นตัวแทนจากตระกูลสูงศักดิ์สุดยอดที่มีทรัพย์สินล้านล้านทั้งนั้น เย่โจงฉวนในตอนนี้ เมื่ออยู่ในงานประชุมสุดยอดนั้น ศักยภาพสามารถเรียงอยู่ในระดับกลางเท่านั้น นอกเหนือจากเขาแล้ว ก็ล้วนเป็นกิจการระดับสูงสุดยอดแห่งสหรัฐอเมริกาและประเทศญี่ปุ่นทั้งนั้น ตระกูลสุดยอดที่มีประวัติยาวนานแห่งยุโรปรวมถึงยักษ์ใหญ่แห่งการเงินประเทศรัสเซีย ยกตัวอย่างเล่นๆ ศักยภาพล้วนอยู่เหนือเขาทั้งนั้น และเหตุผลที่เศรษฐีระดับแนวหน้า ไปเข้าร่วมงานประชุมสุดยอดครั้งนี้ เป็นจำนวนมากมายเช่นนี้ ก็เพราะว่าเบื้องหลังของงานประชุมแนวหน้านี้ มีผู้อำนวยการบริหารสามท่าน ผู้ที่เข้าร่วมงานประชุมสุดยอดในครั้งนี้ทั้งหมด ล้วนแล้วแต่เห็นแก่หน้าตาของผู้อำนวยการบริหารทั้งสามท่านนี้ อีกทั้งล้วนแต่หัวแหลมต้องการที่จะผูกสัมพันธ์อันใกล้ชิดกับผู้อำนวยการบริหารทั้งสามท่าน ผู้อำนวยการบริหารทั้งสามท่านนี้ ก็คือตัวแทนสามมหาเศรษฐีวงการเงินอย่างแท้จริงของโลก หนึ่งท่านคือตัวแทนของราชวงศ์ตะวันออกกลาง อีกหนึ่งท่านคือตัวแทนของตระกูลรอธส์ไชลด์ และอีกหนึ่งท่านคือตัวแทนของตระกูลอาน ตระกูลที่ยิ่งใหญ่ทั้งสามส่งผู้อำนวยการบริหารมารับผิดชอบหน้าที่ในงานประชุมสุดยอดตระกูลละหนึ่งคน มาร่วมเป็นเจ้าภาพจัดการทุกเรื่องร่วมกันของงานประชุมสุดยอด อีกทั้งแต่ละท่านก็มีสิทธิ์ตัดสินคนละหนึ่งโหวตอีกด้วย พวกเขาทั้งสามตระกูลรวบรวมทรัพยากรจำนวนมหาศาลด้วยศักยภาพและความมีอิทธิพลของตน และเนื่องด้วยเหตุนี้ ผู้ประกอบการทั้งหลายล้วนแต่คาดหวังหมายมั่นเข้ามาร่วมในงานประชุมสุดยอดนี้ได้ เย่โจงฉวนก็อยากจะเข้ามาร่วมด้วยเพื่อได้รับทรัพยากรและเส้นสายเช่นกัน และที่บังเอิญก็คือ ผู้ที่ตระกูลอานส่งมาเป็นผู้อำนวยการบริหารนั้น ก็บังเอิญเป็นลุงแท้ๆ ของเย่เฉิน อานข่ายเฟิงนั่นเอง เย่โจงฉวนทราบโดยปริยาย ว่าตระกูลอานดูถูกดูแคลนตนมาตลอด ทว่าถึงอย่างไรก็เคยเป็นญาติกัน อีกทั้งเขาทราบว่าลุงของเย่เฉินอานข่ายเฟิงนั้น มีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งมากกับแม่ของเย่เฉิน ดังนั้นจึงต้องการที่จะแบกหน้าด้านๆ ไปตีสนิทกับอานข่ายเฟิง คิดไม่ถึงว่า ขณะที่เย่โจงฉวนที่อายุมากกว่า เข้าพบอานข่ายเฟิงด้วยตัวเอง อานข่ายเฟิงจะไม่ให้แม้แต่โอกาสในการให้อานข่ายเฟิงพบหน้าแม้แต่ครั้งเดียว เพียงให้ลูกำน้องมาบอกเขาว่า: “ในคนที่แซ่เย่ เขารู้จักเพียงหนึ่งคน ก็คือเลือดเนื้อของพี่สาวเขาอานเฉิงซี เย่เฉินเท่านั้น! นอกเหนือจากนี้ คนที่แซ่เย่ไม่ว่าจะใครก็ถาม ก็ไม่มีทางพบหน้าอย่างแน่นอน!” ท่าทีของอานข่ายเฟิง ทำให้เย่โจงฉวนรับรู้ได้ว่า หลานชายที่หายหน้าคร่าตาไปหลายปีของตน กลับกลายเป็นตัวกระชับสัมพันธ์เดียวระหว่างตระกูลเย่และตระกูลอาน เดิมทีเขายังคิดว่า ตระกูลอานดูถูกดูแคลนตระกูลเย่อย่างมากมาตลอด ถึงขั้นว่าไม่ต้องการที่จะยอมรับความสัมพันธ์ตระกูลเดียวกันระหว่างพวกเขาด้วยซ้ำ ถึงขั้นที่เขายังคิดอีกว่า ตระกูลอานจำต้องดูถูกดูแคลนเย่เฉินแน่นอน ถึงอย่างไรพวกเขาก็คัดค้านที่อานเฉิงซีจะแต่งงานกับเย่ฉางอิง การที่จะมีความรู้สึกไม่ชอบใจกับลูกของอานเฉิงซีและเย่ฉางอิงก็เป็นเรื่องปกติ ทว่า เขาคิดไม่ถึงจริงๆ ว่าอานข่ายเฟิงจะให้โอกาสแก่ตระกูลเย่ ในมุมมองของเขา ไม่ว่าคุณตาคุณยายของเย่เฉินจะสนใจเย่เฉินหรือไม่ มีเพียงคำพูดนี้ของอานข่ายเฟิงก็เพียงพอแล้ว เพราะว่า อานข่ายเฟิงได้ถูกกำหนดไว้เป็นผู้รับช่วงต่อคนถัดไปของตระกูลอานตั้งนานแล้ว การจัดการเขาได้ ก็เท่ากับจัดการทั้งตระกูลอานได้! หลายปีมานี้ เย่โจงฉวนปรารถนาถวิลหาแม้ยามฝันสำหรับตลาดต่างประเทศเป็นอย่างยิ่ง ทว่าหากพึ่งแค่ตระกูลเย่ของตนจริงๆ ต้องการที่จะพัฒนาต่างประเทศได้นั้นเป็นเรื่องที่ลำบากยิ่ง ศักยภาพของตระกูลอาน แข็งแกร่งกว่าตระกูลเย่มากกว่าสิบเท่า อีกทั้งในต่างประเทศก็มีความสามารถเหนือใคร รากฐานมั่นคง ถ้าหากได้รับความช่วยเหลือจากตระกูลอานได้จริงๆ แน่นอนว่าต้องราบรื่นไร้อุปสรรคได้แน่นอน ดังนั้น ในความคิดของเย่โจงฉวน ถ้าหากสามารถทำให้เย่เฉินกลับสู่วงศ์ตระกูล ให้เย่เฉินแต่งงานกับกู้ชิวอี๋ได้ กระทั่งให้เย่เฉินไปสหรัฐอเมริกาสร้างกระชับความสัมพันธ์กับตระกูลอานได้ เช่นนั้นอนาคตของตระกูลเย่ ก็จำต้องมีแต่แสงสว่างแน่นอน อีกทั้งเรื่องนี้ จึงจะเป็นเรื่องหลักของแรงบันดาลใจที่ผลักดันให้เย่โจงฉวนต้องการตามตัวเย่เฉินกลับมาจริงๆ เพียงแต่ว่าเขาไม่ได้บอกใครเกี่ยวกับเรื่องนี้ แม้ว่าจะเป็นถังซื่อไห่เองก็ยังไม่ทราบ