เรื่องที่ว่านพั่วจวินกลับมายังเย่นจิง ภายนอกนอกจากซูเฉิงเฟิงแล้ว กลับไม่มีคนอื่นที่ทราบ
ทว่าก่อนหน้าตั้งนานที่ว่านพั่วจวินจะกลับเย่นจิง เขาก็ได้ส่งผู้แจ้งข่าวจำนวนสิบคนจากสำนักว่านหลง
แฝงตัวอยู่ในเย่นจิงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผู้แจ้งข่าวเหล่านี้แทรกซึมอยู่ในทุกธุรกิจของเย่นจิง ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์เล็กๆ น้อยๆ ของตระกูลใหญ่โตทั้งหลายในเย่นจิง ต่างก็รู้อย่างกระจ่างชัด
หลังจากการเดินทางของเจ้าหญิงแห่งราชวงศ์ยุโรปเหนือกำหนดแล้ว ข่าวคราวก็ได้แพร่สะพัดในเย่นจิงในเวลาอันรวดเร็ว
ตระกูลใหญ่โตทั้งหลายล้วนแต่อิจฉากับเรื่องที่ตระกูลเย่กำลังจะแต่งงานกับราชวงศ์ยุโรปเหนือเป็นอย่างยิ่ง คิดกันว่าตระกูลเย่ได้คว้าโอกาสดีในการบุกสู่ยุโรป
ลู่เห้าเทียนจากพญาเสือแพรขาวภายใต้บัญชาของว่านพั่วจวิน เร่งรีบมายังเบื้องหน้าเขา พร้อมเอ่ยอย่างสุภาพนอบน้อม: “ประมุข เพิ่งได้รับข่าวสารว่าตระกูลเย่ได้สานสัมพันธ์งานแต่งกับราชวงศ์ยุโรปเหนือเรียบร้อยแล้ว หลานชายคนโตของพวกเขาเย่เฟิง จะแต่งงานกับเจ้าหญิงคนโตของราชวงศ์ยุโรปเหนือ อีกสองวันข้างหน้า เจ้าหญิงคนโตคนนั้นก็จะมาถึงเย่นจิง ได้ยินมาว่าเจ้าหญิงคนโตท่านนี้ยังจะเข้าร่วมพิธีบูชาบรรพบุรุษของตระกูลเย่อีกด้วย!”
“เจ้าหญิงคนโตแห่งยุโรปเหนือ?” ว่านพั่วจวินเบ้ปากอย่างไม่สนใจ เอ่ยว่า: “ถ้าฉันจำไม่ผิด เจ้าหญิงคนโตผู้น้ี เหมือนว่าจะถูกยึดสิทธิ์สืบทอดบัลลังก์ราชินีอย่างลับๆ ตั้งนานแล้วสินะ?”
ลู่เห้าเทียนพยักหน้า เอ่ยว่า: “ข้อมูลข่าวสารของวงศ์ตระกูลราชวงศ์ของยุโรป พวกเขาทราบอย่างกระจ่างแจ้งดี เจ้าหญิงคนโตจากยุโรปเหนือท่านนี้ เดิมทีหากยึดตามกฎของการสืบทอดราชวงศ์ ควรที่จะได้รับเป็นผู้สืบทอดตามลำดับหนึ่ง ทว่าไม่ทราบว่าเป็นเพราะเหตุผลอะไรกันแน่ เธอถึงได้ถูกราชวงศ์ทอดทิ้งตั้งแต่นานมากแล้ว”
ว่านพั่วจวินเอ่ยด้วยรอยยิ้มเย้ยหยัน: “มกุฎราชกุมารที่ถูกทอดทิ้งคนหนึ่ง พูดตามจริงเลยก็คือนกฟีนิกซ์ที่ตกอับ หากคนประเภทนี้อยู่ที่ยุโรป ไม่มีตระกูลใหญ่โตที่ไหนเห็นคุณค่าหรอก คิดไม่ถึงนะว่าเมื่ออยู่ในหัวเซี่ยแล้วจะกลายเป็นสมบัติล้ำค่าซะนี่”
ลู่เห้าเทียน เอ่ยอยู่ข้างๆ : “เหมือนว่าตระกูลเย่ต้องการที่จะได้รับช่องทางบางอย่างในยุโรปผ่านเจ้าหญิงท่านนี้”
ว่านพั่วจวินเอ่ยอย่างเหยียดหยาม: “มีฉันอยู่ ทรัพย์สินและกิจการของตระกูลเย่จะน้อยลงเรื่อยๆ ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ไม่มีทางให้พวกเขาได้โอกาสบุกเข้าสู่ยุโรปแน่นอน!”
สิ้นเสียง ว่านพั่วจวินก็เอ่ยด้วยน้ำเสียงเย็นชา: “เห้าเทียน นายรีบส่งคนไปหาซื้อโลงศพที่ถูกและคุณภาพแย่ที่สุดมาล็อตหนึ่ง ถึงตอนนั้นฉันจะส่งของขวัญใหญ่ให้กับตระกูลเย่!”
“รับทราบ ประมุข! ผมจะไปจัดการเดียวนี้!”
“รอเดี๋ยว” ว่านพั่วจวินเรียกห้ามเขาไว้ เอ่ยว่า: “นายบอกเฉินจงเหล่ยหน่อยว่า ก่อนวันที่ 1 เดือนเมษายน ถ้าทางซีเรียไม่มีความคืบหน้าอะไร ก็ให้เขามาที่หัวเซี่ยทันที ต้องมารายงานต่อหน้าฉันที่เย่นจิงก่อนวันที่ 2 เมษายน!”
ฆ่าในวันเช็งเม้งที่ภูเขาเย่หลิงซาน เป็นเรื่องที่ว่านพั่วจวินให้ความสำคัญที่สุด ไม่มีข้อยกเว้น
เมื่อถึงเวลานั้น ราชันสงครามภายใต้บัญชาของเขาห้ามขาดแม้แต่คนเดียว
ดังนั้น เขาจึงสั่งให้เฉินจงเหล่ยมายังเย่นจิงให้ได้ในวันที่ 2 เมษายน
แม้ว่าเรื่องที่ซีเรียจะสำคัญ ทว่าเมื่ออยู่ต่อหน้าเรื่องนี้ ก็ไม่ถือว่าเป็นอะไร
ลู่เห้าเทียนเอ่ยโดยไม่ลังเล: “ประมุขสบายใจได้ อีกสักครู่ผมจะติดต่อกับพญาหมาป่าเนตรเขียว แล้วบอกต่อคำสั่งของท่านให้เขาฟัง!”
……
สำนักว่านหลงได้ปิดกั้นจอมพลคามมิตรอบด้าน ได้ดำเนินต่อเนื่องเป็นเวลาหลายวันแล้ว
ช่วงเวลานี้สำนักว่านหลงไม่ได้ส่งทหารมาบุกรุก ทหารรัฐบาลก็ไม่ได้รวบรวมการยิงระเบิดระลอกใหม่ อีกทั้งจอมพลคามมิตก็ไม่ได้ส่งกองกำลังทหารไปสืบดูเรื่องจริงเรื่องเท็จแต่อย่างใด ทั้งสองฝ่ายได้ตกอยู่ในช่วงทางตันที่ต่างคนต่างอยู่
จอมพลคามมิตยุ่งกับการทำงานในหลายวันนี้เป็นอย่างยิ่ง เขาสั่งการให้ทีมทหารวิศวกรหลายพันคนเร่งทำการก่อสร้างไปด้วย พร้อมทั้งต้องจัดตั้งให้เจ้าหน้าที่ทหารสายตรงไปเข้าร่วมการอบรมทหารอีกด้วย ทำการอบรมเจ้าหน้าที่ทหารระดับกลางอย่างกระตือรือร้น ตามคำสั่งของเย่เฉิน พร้อมเสริมการควบคุมทั้งกองกำลังทั้งหมดเพิ่มขึ้น
ส่วนทางเย่เฉิน ได้ยินว่าตอนนี้จอมพลคามมิตได้เข้าสู่ช่วงพักสงครามแล้ว จึงโล่งอกไป ทำการเพ่งสมาธิทั้งหมดไปยังการเตรียมพร้อมของหยวนหยางขนส่งกรุ๊ป
ซูจือหยูทำตามข้อตกลงการร่วมมือกับเย่เฉิน นำทรัพยากรทั้งหมดของบริษัทขนส่งตระกูลซูมาให้
ส่วนอิโตะ นานาโกะเพื่อให้ความร่วมมือเย่เฉิน ก็ได้ออกหน้ามาโดยตนเอง ก่อตั้งบริษัทร่วมลงทุนกับซูจือหยู จากนั้นเย่เฉินจึงได้ตั้งชื่อโดยนำแซ่ของทั้งสองคนมารวมกัน ชื่อว่าบริษัท นานาซูขนส่ง จำกัด