สวียินตงกล่าวว่า “ พูดมาเถอะ!” เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ในเมื่อสำนักว่านหลงของคุณแข็งแกร่งมาก ทำไมถึงได้พ่ายแพ้ให้กับกลุ่มคนที่ไม่รู้หนังสือล่ะ และสูญเสียอย่างหนัก ถ้าผมจำไม่ผิด พวกคุณน่าจะสูญเสียทหารไป 2,500 กว่าคน และยังมีนายพลห้าดาวอีกคนใช่ไหม?” “คุณ…..” สวียินตงโกรธทันทีที่ได้ยินประโยคนี้ และกล่าวด้วยความโมโหว่า “พวกคุณชนะเพียงสองครั้งโดยอาศัยเล่ห์กลอุบาย ความแค้นคราวนี้ ไม่ช้าพวกเราสำนักว่านหลงจะคิดบัญชีทั้งต้นทั้งดอกจากพวกคุณ!” เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะยินดีมาก คุณคงไม่รู้ว่าตอนนี้ทหารของพวกเรากำลังบ่นคันไม้คันมือทุกวัน พวกเขาต้องการฆ่าทหารหมื่นกว่าคนของสำนักว่านหลงเพื่อความสะใจ เพียงแต่พวกคุณนั้นขี้ขลาดเกินไป พวกเรารอนานแล้วแต่ยังก็ไม่เห็นพวกคุณเริ่มบุกประชิดสักที กล่าวตามตรง สำนักว่านหลงนั้นทำให้พวกเรารู้สึกผิดหวังจริง ๆ” สวียินตงโกรธจนหน้าดำหน้าแดงและด่าแช่งว่า “เจ้าหนู! คุณระวังคำพูดหน่อย!” เย่เฉินขมวดคิ้วและกล่าวด้วยความเหยียดหยาม “คุณนั่นแหละต้องระวังคำพูด? คุณคิดว่าตนเองเป็นใคร?! วันนี้ผมมาที่นี่เพื่อเจรจากับพวกคุณ ไม่ใช่มาดูคุณเสแสร้ง!” หลังจากนั้น เย่เฉินยังคงแสดงสีหน้าไม่พอใจ “คุณไสหัวไปจากที่นี่เลย พวกเราไม่จำเป็นต้องคุยกับสำนักว่านหลงอีกแล้ว พวกเราสามารถสู้รบกันไปเรื่อย ๆ และต่างฝ่ายต่างไม่ยอดอ่อนข้อให้แก่กันและกันต่อไปเรื่อย ๆ ไม่ว่าพวกคุณจะตัดสินใจอย่างไร? พวกเราจะสู้รบกันจนถึงที่สุด นับตั้งแต่นี้เป็นต้นไป ผมจะคุยกับตัวแทนกองทัพของรัฐบาลเท่านั้น!” สวียินตงไม่คิดว่าเย่เฉินจะโกรธทันที และทัศนคติของเขานั้นแข็งกร้าวมาก เขาทั้งรู้สึกโกรธและกังวลอยู่ชั่วขณะหนึ่ง เขารู้ว่าเฉินจงเหล่ยหัวหน้าของตนเอง แม้แต่ประมุขก็ไม่ต้องการเจรจาสงบศึกกับฮามิด แต่สถานการณ์ตอนนี้ สำนักว่านหลงไม่สามารถแตกหักกับกองทัพของรัฐบาลเพราะเรื่องเจรจาสงบศึก มิฉะนั้น เมื่อกองทัพของรัฐบาลโกรธ เรื่องการก่อตั้งฐานทัพของสำนักว่านหลงในซีเรียจะสูญเปล่า ดังนั้น แม้ว่าส่วนลึกแล้วเขาจะต่อต้านการเจรจาสงบศึก แต่สำนักว่านหลงจำเป็นต้องเสแสร้ง แล้วหาทางถ่วงเวลาออกไปจนถึงหลังวันที่ 5 เมษายน หากเป็นเพราะคำพูดของตนเอง ทำให้ฝ่ายฮามิดไม่ยินยอมที่จะเจรจากับสำนักว่านหลงต่อ และเจรจาสงบศึกกับกองทัพของรัฐบาลแทน ถ้าเป็นเช่นนั้นฝ่ายตนเองจะเป็นฝ่ายตามเกินไป ดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงกัดฟันและกล่าวขอโทษ “พี่ชาย ทุกคนล้วนเป็นคนจีน และเสี่ยงชีวิตเพื่อทำมาหากินในต่างประเทศ และไม่จำเป็นต้องทะเลาะกัน?” เย่เฉินกล่าวอย่างเย็นชา “ทุกคนล้วนเป็นคนจีนนั้นเป็นเรื่องจริง แต่ผมรู้สึกดูถูกเพื่อนร่วมชาติที่น่าขยะแขยงอย่างคุณ! เมื่ออยู่ต่างถิ่น เมื่อพบหน้าก็เยาะเย้ยถากถางเพื่อนร่วมชาติก่อน และกล่าวคำพูดแสดงความเกลียดชัง อาศัยต่อต้านเพื่อนร่วมชาติเพื่อให้ตนเองมีตัวตน ผมคิดว่าคุณเป็นขยะประเภทที่รังควานเพื่อนร่วมชาติทันทีที่ออกมาข้างนอก!” อย่างไรเสียสวียินตงก็เป็นนายพลสามดาวของสำนักว่านหลง และเขาไม่เคยถูกใครด่าแบบนี้มาก่อน เพียงแต่ ตอนนี้เขาไม่กล้าจ้องมองเย่เฉิน ถ้าตนเองเป็นสาเหตุทำให้การเจรจาสงบศึกเกิดความล่าช้า ซึ่งความผิดนี้ตนเองไม่สามารถแบกรับได้ ดังนั้น เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากยิ้มและกล่าวว่า “ใช่ ๆ ๆ ผมไม่ควรทำเช่นนี้ ผมขอโทษท่านด้วย! เหตุผลหลักคือสำนักว่านหลงของพวกเราประสบความสูญเสียอย่างหนัก ดังนั้นผมจึงรู้สึกโกรธเล็กน้อย หวังว่าท่านจะสามารถยกโทษให้ผมได้…….” เย่เฉินเหลือมองเขาอย่างดูถูกและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “จำไว้ว่าต่อไปถ้าคุณไปต่างถิ่น จงเป็นคนถ่อมตน มีคุณธรรม และอย่าทำให้เพื่อนร่วมชาติชาวจีนต้องอับอายขายหน้า!” “ท่านพูดถูก……” สวียินตงโค้งตัวแล้วพยักหน้าและกล่าวว่า “ท่านวางใจ ต่อไปผมจะเป็นคนถ่อมตน และมีคุณธรรม…” หลังจากกล่าวจบ เขาก็อดทนต่อความอับอายและกล่าวกับเย่เฉินด้วยใบหน้าอ้อนวอนว่า “พี่ชาย สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นั้นเป็นความผิดของผม ผมได้ตระหนักถึงความผิดของตนเองแล้ว ดังนั้นท่านได้โปรดอย่าถือสาผมอีกเลย ตอนนี้เป็นเวลาเร่งด่วน จอมพลของพวกเราและผู้บัญชาการกองทัพของรัฐบาลรออยู่ พวกเรารีบออกเดินทางกันเถอะ ท่านคิดว่าดีไหม?”