หลังจากลงเฮลิคอปเตอร์ สวียินตงพาเย่เฉินดินไปที่ห้องประชุมของสำนักว่านหลงที่อยู่โซนด้านหน้า เขาถามเย่เฉินขณะเดิน “พี่ชาย ไม่รู้ว่าท่านชื่ออะไร? ท่านมาจากที่ไหนของหัวเซี่ย?” เย่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ถามในสิ่งที่ควรถาม และอย่าถามในสิ่งที่ไม่ควรจะถาม” สวียินตงกัดฟันอดทน ทำได้เพียงกล่าวอย่างอึดอัดว่า “ไม่ใช่…….อีกสักครู่ผมต้องแนะนำท่านให้รู้จักกับจอมพลของพวกเรา ยังไงก็ต้องแนะนำชื่อใช่ไหม?” เย่เฉินกล่าวโดยไม่คิด “ผมแซ่เย่ พวกคุณเรียกผมว่าอาจารย์เย่ก็ได้” “อาจารย์……เย่?” สวียินตงมองเย่เฉินด้วยความตกตะลึงตาค้างจนพูดอะไรไม่ออก ถึงแม้จะไม่เห็นใบหน้าของเขา แต่อย่างน้อยก็สามารถบอกได้จากแววตาของเขาว่าเขาไม่ได้พูดล้อเล่น สวียินตงรู้สึกอึดอัดเป็นอย่างมาก และแอบคิดอยู่ในใจ “แม่งฉิบหายเป็นเซียนอะไรกันแน่? เขาไม่เคยเห็นคนที่เสแสร้งเก่งขนาดนี้มาก่อน ยังมาบอกว่าเป็นอาจารย์เย่ อาจารย์อะไร? อาจารย์กำลังภายในหรือ? แม้ว่าเขาจะรู้สึกไม่สบอารมณ์ แต่สวียินตงยังคงกล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “ที่แท้คืออาจารย์เย่ ยินดีที่ได้พบท่าน ผมคือสวียินตง นายพลสามดาวของสำนักว่านหลง!” “นายพลสามดาว?” เย่เฉินถามอย่างสงสัย “เกาหลีสนับสนุนคุณเหรอ?” สวียินตงถามด้วยสีหน้าที่มึนงง “คุณเย่…….ไม่ถูก! อาจารย์เย่ ท่าน…….หมายถึงอะไร……ผมไม่เข้าใจ…….” เย่เฉินกล่าวโดยไม่ “คุณบอกว่าคุณเป็นนายพลสามดาวไม่ใช่หรือ? ผมขอถามคุณ ชื่อของคุณได้รับการสนับสนุนโดยซัมซุงกรุปของเกาหลีใช่ไหม?” (*สามดาวออกเสียงเหมือนกับซัมซุงในภาษาจีน) สวียินตงอยากจะบ้าตาย และกล่าวโพล่งออกมาว่า “อาจารย์เย่ ท่านพูดล้อเล่นเก่งจัง นายพลสามดาวคือระดับดาวของสำนักว่านหลง ต่ำสุดคือระดับหนึ่งดาว สูงสุดคือระดับห้าดาว ผมอยู่ในระดับสามดาว ดังนั้นผมจึงเป็นนายพลสามดาว” เมื่อเย่เฉินได้ยินเรื่องนี้ อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วและแอบคิดอยู่ในใจ “สวียินตงเป็นนักบู๊สองดาว ถ้าหากนักบู๊สองดาวนั้นสามารถจัดอันดับเป็นนายพลสามดาวของสำนักว่านหลง งั้นนายพลสี่ดาวอย่างน้อยต้องมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับนักบู๊สามดาวใช่ไหม? ส่วนความแข็งแกร่งของนายพลห้าดาวน่าจะอยู่ในระดับนักบู๊สี่ดาว แล้วประมุขของพวกเขาอย่างน้อยต้องมีความแข็งแกร่งอยู่ในระดับนักบู๊ห้าดาวหรือสูงกว่านั้นใช่ไหม?” “หากเป็นเช่นนั้นจริง ความแข็งแกร่งของสำนักว่านหลงนั้นช่างน่าสะพรึงกลัวจริง ๆ ในหัวเซี่ยมีตระกูลศิลปะการต่อสู้มากมาย ตอนนี้มีเพียงท่านเหอแห่งตระกูลเหอเท่านั้น ที่ประสบความสำเร็จสามารถทะลวงไปถึงนักบู๊สี่ดาวจากความช่วยเหลือของผม แต่สำนักว่านหลงอย่างน้อยนั้นมีนักบู๊สี่ดาวและสูงกว่านักบู๊สี่ดาวมากมาย” เมื่อคิดถึงตรงนี้ เย่เฉินจึงถามว่า “ผมได้ยินว่าช่วงสงครามเมื่อหลายวันก่อน ทหารของพวกเราได้ฆ่านายพลห้าดาวของพวกคุณไปหนึ่งคน? คนนั้นน่าจะแข็งแกร่งกว่าคุณมากใช่ไหม?” สวียินตงกัดฟันและกล่าวว่า “คนที่ท่านกล่าวถึงคือหลูจ้านจุน นายพลห้าดาวของพวกเรา เขาแข็งแกร่งกว่าผมมาก และเขายังเป็นหนึ่งในผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดานายพลหลายร้อยคนของพวกเรา……..” เย่เฉินกระเดาะปาก ส่ายศีรษะและกล่าวว่า “จุ๊ ๆ ไม่ว่าจะแข็งแกร่งแค่ไหนแต่ก็กลัวกระสุน เขาทำงานหนักมาครึ่งค่อนชีวิต แต่สุดท้ายถูกคนที่ไม่รู้หนังสือชาวซีเรียยิงตาย คุณคิดว่าขาดทุนไหม?” เมื่อได้ยินประโยคนี้ สวียินตงรู้สึกโกรธเป็นฟืนเป็นไฟอยู่ในใจ เขามีความสัมพันธ์ส่วนตัวที่ดีกับหลูจ้านจุน และตอนนี้เมื่อได้ยินอีกฝ่ายเหน็บแนมหลูจ้านจุน เขาต้องรู้สึกโกรธแค้นเป็นธรรมดา เพียงแต่ สิ่งที่เย่เฉินกล่าวนั้นเขาไม่สามารถหักล้างได้ ยิ่งไปกว่านั้นการกล่าวเหน็บแนมว่ากองทัพของฮามิดไม่รู้หนังสือ นั่นคือสิ่งที่เขาพลั้งปากกล่าวออกมาเมื่อสักครู่ หลูจ้านจุนเป็นคนที่แข็งแกร่งมาก ถ้าหากทหารหลายคนยิงเขาด้วยปืนกล เขามีโอกาสที่จะหลบหนีและฆ่าคู่ต่อสู้ได้สูง แต่ว่าการสู้รบครั้งสุดท้ายของหลูจ้านจุน เขาและทหารหัวกะทิของสำนักว่านหลงถูกโอบล้อมด้วยจุดยุทธศาสตร์การยิงมากมาย และปืนกลหนักทุกทิศทางจนก่อตัวเป็นเครือข่ายพลังยิงรอบด้าน ซึ่งปืนกลหนักลำกล้องขนาด 12.7 มิลลิเมตรนั้น แม้แต่ช้างแอฟริกายังสามารถถูกฆ่าตายด้วยการยิงนัดเดียว ดังนั้น แม้ว่าหลูจ้านจุนจะเป็นนายพลห้าดาว แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ สวียินตงรู้สึกเกลียดชังเย่เฉินมากขึ้นกว่าเดิม จนแทบอดใจไม่ไหวที่จะชักปืนออกมา แต่เขากัดฟันและพาเย่เฉินเดินไปที่ประตูห้องประชุม หลังจากนั้นเขาเคาะประตู คนที่อยู่ข้างในกล่าวว่า “เข้ามา” สวียินตงผลักประตูเข้าไป และกล่าวกับคนจีนที่นั่งอยู่ตรงข้ามว่า “จอมพล ผู้แทนเจรจาของฝ่ายฮามิดชื่ออาจารย์เย่มาถึงแล้วครับ!”