ขณะนี้ในห้องประชุม เฉินจงเหล่ยและผู้บัญชาการกองทัพของรัฐบาลกำลังนั่งอยู่ในภาวะตึงเครียด และเฉินจงเหล่ยกำลังคิดว่าอีกสักครู่จะเข้าไปแทรกแซงฮามิด และกองทัพรัฐบาลเจรจาสงบศึกอย่างไรดี เมื่อได้ยินสิ่งที่สวียินตงกล่าว เขารู้สึกตะลึงทันทีและถามตามจิตใต้สำนึกว่า “เมื่อสักครู่คุณบอกว่าผู้แทนเจรจาชื่ออะไรน่ะ?” สวียินตงกล่าวด้วยความอึดอัดว่า “อาจารย์เย่……” หลังจากกล่าวจบ เขารีบถอยไปข้างหลัง แล้วกล่าวกับเย่เฉินที่ยืนอยู่ข้างหลังว่า “อาจารย์เย่ เชิญเข้าไปเถอะ” เย่เฉินพยักหน้า เอามือไพล่หลังแล้วเดินเข้าไปอย่างสบาย ๆ ทันทีที่เดินเข้าไปในประตู เขาเห็นเฉินจงเหล่ยนั่งอยู่ที่โต๊ะประชุม เขาเหลือบมองและพบว่าเฉินจงเหล่ยคนนี้ไม่ธรรมดาจริง ๆ เขาอายุน่าจะประมาณ 30 ปี และเขาสามารถทะลวงเส้นลมปราณไปแล้ว 6 เส้น เป็นครั้งแรกที่เย่เฉินเห็นนักศิลปะการต่อสู้ที่สามารถทะลวงผ่านเส้นลมปราณได้ 6 เส้น โดยพื้นฐานแล้วความแข็งแกร่งเช่นนี้สามารถทำงานอยู่ในเมืองจินหลิงคนเดียวได้ รวมไปถึงสมาชิกตระกูลเหอทุกคน และยังรวมถึงท่านเหอด้วย ขณะเดียวกัน เย่เฉินอดไม่ได้ที่จะดีใจแทนฮามิด ถ้าไม่ได้เพราะตนเองช่วยเขาวางแผนล่วงหน้า เฉินจงเหล่ยคนเดียวก็สามารถแอบเข้าไปในฐานทัพของเขาได้อย่างง่ายดาย จากนั้นก็ตัดศีรษะของเขา ไม่น่าแปลกใจหลังจากที่สำนักว่านหลงเริ่มร่วมมือกับกองทัพของรัฐบาลแล้ว พวกเขาบุกเป็นพายุ และบุกไปทางไหนทางนั้นก็ราบเป็นหน้ากลอง การมียอดฝีมือเช่นนี้เป็นผู้นำทัพ และฝ่ายต่อต้านในซีเรียไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเขาเลย แต่เนื่องจากฮามิดได้ยกระดับการป้องกันทั้งหมดแล้ว ถึงสามารถควบคุมไม่ให้เฉินจงเหล่ยมาตัดศีรษะของฮามิดได้ ถึงแม้เฉินจงเหล่ยจะเป็นนักบู๊หกดาว และความแข็งแกร่งของเขานั้นเหนือกว่าคนธรรมดาทั่วไปมาก แต่ร่างกายไม่เหมือนกำแพงเหล็ก หากปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าจุดยุทธศาสตร์การยิงของปืนใหญ่แล้ว ก็สามารถถูกยิงตายได้เช่นกัน การเสียชีวิตอย่างน่าสังเวชของหลูจ้านจุน ทำให้เฉินจงเหล่ยรู้สึกหวาดกลัวมาก นั่นเป็นเหตุผลที่เขาไม่ไปตัดศีรษะฮามิด เมื่อเฉินจงเหล่ยเห็นเย่เฉินเดินเข้ามา เขาแสดงสีหน้าประหลาดใจ และเขาถามตามจิตใต้สำนึก “คุณ…….คุณเป็นคนจีนหรือ?” “ใช่” เย่เฉินเดินตรงไปยังฝั่งตรงข้ามแล้วนั่งลง และกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ผมเป็นกุนซือของจอมพลฮามิด และยังเป็นตัวแทนของเขาเพียงคนเดียวที่มาเจรจาสงบศึกคราวนี้ ผมมีอำนาจเต็มที่ในการเจรจากับพวกคุณในนามของจอมพลฮามิด” เฉินจงเหล่ยถามด้วยความมึนงง “คุณเป็นคนจีน แล้วเข้าร่วมเป็นสมาชิกของกองทัพของฮามิดได้อย่างไร?” เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “มีอะไรน่าแปลกหรือ? ทุกคนออกมาทำมาหากิน พวกคุณสามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกของสำนักว่านหลงได้ ผมก็สามารถเข้าร่วมเป็นสมาชิกของฮามิดได้เช่นกัน” เฉินจงเหล่ยขมวดคิ้วแล้วมองเย่เฉิน และกล่าวว่า “ในเมื่อมาที่นี่เพื่อเจรจา ทำไมคุณถึงยังสวมหน้ากากอยู่ หรือว่าคุณไม่กล้าเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของคุณ?” เย่เฉินมองไปรอบ ๆ และเมื่อเห็นว่าในห้องประชุมไม่มีอุปกรณ์บันทึกภาพ เขาจึงถอดหน้ากากออก และกล่าวด้วยนำเสียงราบเรียบว่า “ผมเป็นคนที่ค่อนข้างถ่อมตน และไม่ชอบเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงของตนเองต่อหน้าคนหลายคน” เฉินจงเหล่ยจ้องใบหน้าของเย่เฉิน พบว่าชายหนุ่มคนนี้อายุน่าจะประมาณ 25 ปี ซึ่งอายุน้อยกว่าตนเองหลายปี อดไม่ได้ที่จะถาม “ผมไม่เข้าใจ ถึงแม้ว่าศักยภาพการต่อสู้ของกองกำลังฮามิดจะไม่ค่อยเก่ง แต่ปกติแล้วจะไม่ชอบคบหาสมาคมกับคนที่มีความเชื่อต่างกัน คุณอายุน้อยและยังเป็นคนต่างชาติอีกด้วย คุณเข้าไปเป็นสมาชิกของเขาได้อย่างไร แล้วยังเป็นกุนซืออีกด้วย?” เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “แน่นอน ผมได้เป็นกุนซือจากความสามารถของตนเอง” เฉินจงเหล่ยยิ้มเยาะเย้ยและกล่าวว่า “ผมคิดว่าคุณเป็นแค่เด็กหนุ่มที่อ่อนแอ ซึ่งมองดูแล้วคุณไม่เหมือนนักศิลปะการต่อสู้ แล้วคุณจะมีความสามารถอะไร?” เย่เฉินยิ้มเล็กน้อยและกล่าวว่า “คุณไม่รู้หรือว่าตอนนี้การป้องกันของฮามิดนั้นเหนือกว่ากองกำลังฝ่ายต่อต้านอื่น ๆ มาก? คุณไม่รู้หรือว่าทักษะและยุทธวิธีโดยรวมตอนนี้ของฮามิดได้รับการปรับปรุงมากกว่าเมื่อก่อนมาก?” เฉินจงเหล่ยขมวดคิ้วและถามว่า “ฟังความหมายของคุณแล้ว ดูเหมือนว่าทั้งหมดนี้เป็นเพราะคุณ?” “แน่นอน” เย่เฉินเลิกคิ้วและยิ้ม “ไม่ได้กล่าวเกินจริงที่จะบอกว่าส่วนใหญ่เป็นความดีความชอบของผม” เฉินจงเหล่ยหัวเราะและถามด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยเป็นมิตรว่า “ตามที่กล่าวมานั้น ดูเหมือนว่าคุณจะเยี่ยมมาก?”