เย่เฉินพยักหน้า หักข้อนิ้วมือเล่นและกล่าวว่า “คุณคิดดูว่าการวางแผนเชิงกลยุทธ์ของแนวป้องกันทางยุทธศาสตร์ถาวรบนทางลาดด้านหน้าสอดคล้องกับอุโมงค์ป้องกันบนทางลาดด้านหลัง และแนวทางการละทิ้งฐานที่มั่นทั้งหมดในหุบเขาแล้วย้ายลงไปในอุโมงค์บนภูเขา บวกกับการสร้างกำแพงสูง สะสมเสบียง และหัวใจสำคัญของกลยุทธ์คืออย่าเรียกตนเองว่าเป็นจ้าวก่อน และทั้งหมดเป็นความคิดของผม ด้วยแนวทางหัวใจสำคัญของกลยุทธ์เหล่านั้น ถึงแม้ว่าจะเป็นความฉลาดเพียงเล็กน้อย แต่ก็สามารถแสดงศักยภาพการต่อสู้ได้ไกลกว่าจินตนาการของคนธรรมดา ทั้งหมดนี้ผมทำให้ฮามิดโดยเฉพาะ และดูจากชัยชนะครั้งใหญ่ทั้งสองครั้งแล้ว ผมเยี่ยมจริง ๆ ด้วย” หลังจากนั้น เย่เฉินหยุดครู่หนึ่ง แล้วกล่าวอีกครั้งด้วยรอยยิ้มว่า “เยี่ยมกว่าคุณเล็กน้อย” เมื่อนึกถึงผู้ใต้บังคับบัญชามากกว่า 2,500 คน ที่เสียชีวิตอย่างอนาถอยู่ในฐานทัพของฮามิด เฉินจงเหล่ยตบโต๊ะด้วยความโมโหและกล่าวอย่างโกรธเคืองว่า “เจ้าหนู อย่ายโสโอหังเกินไป!” เย่เฉินส่ายศีรษะด้วยความเหยียดหยามและกล่าวว่า “การที่คุณเป็นคนใจแคบเช่นนี้มันน่าเบื่อมาก คุณเป็นคนที่สงสัยว่าผมไม่เยี่ยมพอ ดังนั้นผมจึงตอบคุณว่าผมเยี่ยมอย่างไร? แต่ผลลัพธ์คือคุณกลับโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ ทำไม? คุณไม่เข้าใจคำว่าชัยชนะหรือพ่ายแพ้เป็นเรื่องปกติของทหาร? หรือคุณเข้าใจ แต่ว่าคุณแพ้ไม่เป็น?” เฉินจงเหล่ยกล่าวโพล่งออกมาตามจิตใต้สำนึกว่า “ผมไม่ได้แพ้ไม่เป็น!” เย่เฉินยิ้มและถามกลับ “โอ้? คุณไม่ได้แพ้ไม่เป็นหรือ? งั้นหลังจากคุณทำให้ตนเองขายหน้า แล้วยังจะตบโต๊ะและจ้องมองผม? พฤติกรรมเช่นนี้ถ้าไม่ใช่แพ้ไม่เป็นแล้วมันคืออะไร? นี่คือความใจแคบของสี่ราชันสงครามของสำนักว่านหลงหรือ?” เฉินจงเหล่ยไม่คิดว่าคำพูดของเย่เฉินจะมีพลังทุกประโยค และทำให้เขารู้สึกโกรธเป็นอย่างมาก แต่ไม่รู้ว่าจะโต้กลับอย่างไรดี เขายังรู้ชัดเจนว่าการสู้รบในสนามรบแพ้ก็คือแพ้ ไม่ว่าคู่ต่อสู้จะใช้กลวิธีที่น่าขยะแขยงแบบไหนก็ตาม มันไม่ใช่เหตุผลสำหรับความล้มเหลวของตนเอง ตนเองไม่สามารถถามเขาได้ว่า ทำไมคนพวกคุณถึงซ่อนตัวอยู่ในแนวป้องกัน ทำไมคนพวกคุณถึงวางกับดักเพื่อระเบิดพี่น้องของผมตายไปมากมาย หากตนเองถามคำถามเช่นนั้น นั่นจะเป็นการทำให้ตนเองและสำนักว่านหลงต้องอับอายขายหน้าอย่างที่สุด ดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงแค่กัดฟัน ชี้ไปที่เย่เฉินแล้วกล่าวว่า “โอเค! คุณแน่มาก! ผมจำคุณไว้แล้ว!” เย่เฉินพยักหน้า “ทางที่ดีคุณควรจำให้ชัดเจนหน่อย” ขณะนี้ ผู้บัญชาการกองทัพของรัฐบาลที่เงียบมาโดยตลอดกล่าวว่า “เอาล่ะ เอาล่ะ! วันนี้พวกเรามาเพื่อเจรจาสงบศึก ไม่ใช่มาเพื่อทะเลาะเบาะแว้งกัน รีบเข้าประเด็นกันเถอะ!” เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “โอเค มาเข้าเรื่องกันดีกว่า ผมขอพูดถึงความต้องการหลักของจอมพลในการเจรจาสงบศึกคราวนี้ก่อน” ผู้บัญชาการกองทัพของรัฐบาลรีบกล่าวว่า “โอเค คุณพูดมา!” เย่เฉินกล่าวอย่างจริงจัง “ประการแรก ฝ่ายผมยินดีที่จะเจรจาหยุดยิงกับทางฝ่ายคุณ ขอเพียงแค่ฝ่ายคุณยอมถอนกำลังที่โอบล้อมฝ่ายเรา งั้นฝ่ายเราจะรักษาระยะห่างจากพวกคุณ และไม่รุกรานซึ่งกันและกัน” เมื่อเฉินจงเหล่ยได้ยินประโยคนี้ เขากล่าวด้วยอย่างโมโหทันทีว่า “ช่างเป็นเรื่องตลกสิ้นดี! ด้วยคำพูดประโยคเดียวของคุณแล้วต้องการให้พวกเรายุติการโอบล้อม? มีสิทธิ์อะไร? ถ้าพวกเรายุติการโอบล้อม แล้วพวกคุณจะยอมจำนนหรือ?” เย่เฉินกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “พวกเราล้วนเป็นผู้ใหญ่แล้ว ดังนั้นอย่าพูดจาไร้เดียงสาเกินไป การยอมจำนนนั้นเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ และจะไม่ยอมจำนนไปชั่วชีวิต” เมื่อเฉินจงเหล่ยเห็นเย่เฉินเย้ยหยันว่าตนเองไร้เดียงสา จึงกล่าวด้วยความโมโหว่า “อะไรนะ? การที่ผมให้คุณยอมจำนนเป็นเรื่องที่ไร้เดียงสา แล้วการที่คุณให้พวกเรายุติการโอบล้อมไม่ไร้เดียงสาหรือ?” เย่เฉินกลอกตาใส่เขาแล้วกล่าวว่า “เมื่อสักครู่ผมพูดแล้วว่าเงื่อนไขข้อนี้เป็นประการแรก คุณก็เป็นคนจีน คุณน่าจะรู้คำว่าประการแรกนั้นหมายความว่าอย่างไร มันเป็นแค่เงื่อนไขเบื้องต้น คุณเข้าใจเงื่อนไขเบื้องต้นหรือไม่?” เฉินจงเหล่ยไม่สามารถระงับความโกรธของตนเองได้ และกล่าวอย่างเฉียบขาดว่า “แม่งฉิบหาย คุณมาที่นี่เพื่อเจรจาหรือเพื่อยั่วยุกันแน่?!”