พวกเขาเดินออกมาจากกองบัญชาการของฮามิดด้วยกัน ผู้ช่วยของฮามิดนำตัวซูโสว่เต้าซึ่งถูกมัดออกจากหลุมหลบภัยด้วย ช่วงหลายวันที่ผ่านมานั้นมีการสู้รบตลอด ฮามิดกลัวว่าซูโสว่เต้าจะสร้างปัญหาหรือหลบหนี ดังนั้นเขาจึงสั่งให้มัดเขาไว้ เป็นเพราะการสู้รบจึงทำให้เขาถูกขังอยู่ในหลุมหลบภัยมืด ๆ เขาไม่ได้เห็นดวงอาทิตย์มาหลายวันแล้ว ทำให้ร่างกายของเขาทรุดโทรมมาก และหน้าขาวซีดเผือด ขณะนี้ พระอาทิตย์กำลังจะตกดิน แสงแดดสีทองแผ่ไปทั่วร่างกายของซูโสว่เต้า ทำให้เขารู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ ภายใต้แสงของอาทิตย์ ทำให้เขาไม่เห็นหน้าเย่เฉินชัดเจน และเขานั้นได้หันหน้าเผชิญกับดวงอาทิตย์ที่กำลังตกดิน รู้สึกถึงความอบอุ่นของดวงอาทิตย์บนร่างกายและเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกหลากหลาย เมื่อก่อนเขาไม่เคยคิดฝันว่า ตนเองเป็นลูกชายใหญ่ของตระกูลซูซึ่งร่ำรวยที่สุด แต่วันหนึ่งจะมีชีวิตที่ตกต่ำเช่นนี้ จนรู้สึกว่าแม้เห็นดวงอาทิตย์ยังเป็นสิ่งที่ฟุ่มเฟือย เขาดื่มด่ำแสงอาทิตย์ได้เพียงไม่กี่วินาที ผู้ช่วยที่อยู่ข้างหลัง กล่าวเร่งว่า “เร็วเข้า! คุณเย่กำลังรออยู่!” ทันทีที่เขาได้ยินคำว่าคุณเย่ ซูโสว่เต้ารู้สึกตื่นตระหนกทันที หลังจากหันศีรษะไป ดวงตาทำการปรับแสงหลายวินาที ถึงเห็นเย่เฉินที่ยิ้มอยู่ไม่ไกล เมื่อเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของเย่เฉินที่ประกายด้วยแสงสีทองอร่าม ซูโสว่เต้าอดไม่ได้ที่จะสั่นเทาและคิดว่า “เด็กคนนี้ดูสง่างาม และตอนที่เขามีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้า ดูแล้วเขาไม่เหมือนคนที่เป็นภัยต่อมนุษย์ แต่ใครจะไปคิดว่าผู้ชายคนนี้จะทำเรื่องบ้า ๆ ได้ขนาดนี้ โยนผมลงไปในที่สับปะรังเคและต้องทนทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส…..จากจุดนี้ สามารถกล่าวได้ว่าเด็กคนนี้ไม่ดีเท่าเย่ฉางอิงพ่อของเขา ตอนนั้นเย่ฉางอิงไม่ได้โหดร้ายขนาดนี้…..” ขณะที่เขากำลังพึมพำอยู่ในใจ ซูโสว่เต้าถูกผู้ช่วยพาไปอยู่ข้างเย่เฉินแล้ว เย่เฉินมองเขาและถามด้วยรอยยิ้มว่า “คุณซู ช่วงเวลาที่ผ่านมาคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง?” ซูโสว่เต้ากล่าวด้วยสีหน้าเศร้าว่า “เย่เฉิน คุณให้ผมกลับไปที่หัวเซี่ยเถอะ….ที่นี่มีสงครามตลอดเวลา ผมทนไม่ไหวแล้ว…..ถึงแม้คุณจะให้ผมไปอยู่ที่ภูเขาฉางไบ ยังปลอดภัยกว่าที่นี่….. ” เย่เฉินโบกมือ “คุณไม่ต้องกังวลเรื่องนี้อีกต่อไปแล้ว ฮามิดเตรียมที่จะเจรจาสงบศึกกับกองกำลังของรัฐบาลแล้ว เมื่อคุณกลับมาที่นี่หลังจากเทศกาลเช็งเม้งแล้ว ที่นี่จะไม่มีสงครามอีกต่อไป” หลังจากซูโสว่เต้าฟังจบ เขาไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจดี เย่เฉินมองดูเวลาและกล่าวว่า “ไปกันเถอะ คุณซู ตอนนี้ที่หัวเซี่ยนั้นดึกแล้ว พวกเรารีบออกเดินทาง จะได้ไปถึงเมืองจินหลิงเช้าวันพรุ่งนี้” ซูโสว่เต้ารีบถาม “ถ้าถึงเมืองจินหลิงแล้ว ให้ผมพบจือหยูและจือเฟยได้ไหม?” เย่เฉินโบกมือ “ตอนนี้ลูกชายของคุณคุกเข่าไปที่วัดต้าจาวเพื่อชดใช้บาปของพ่อคุณ ส่วนลูกสาวของคุณช่วงนี้เธองานยุ่งมาก เธอน่าจะไม่มีเวลาพบคุณ แต่ถ้าคุณคิดถึงญาติจริง ๆ ผมจะให้คุณพบกับน้องชายชั่วคราว หลังจากเจอหน้ากันแล้วพวกคุณสองคนจะได้สังสรรค์กัน” เมื่อซูโสว่เต้าได้ยินประโยคนี้ ตกตะลึงจนค้างและถามว่า “น้องชายของผม! คุณหมายถึง…..ซูโสว่เต๋อ?!” ซูโสว่เต๋อได้หายตัวไปนานแล้ว ซูโสว่เต้ารู้ว่าซูโสว่เต๋อต้องอยู่ในมือของเย่เฉินอย่างแน่นอน แต่เขาไม่รู้ว่าซูโสว่เต๋อถูกขังไว้ที่ใด เมื่อได้ยินเย่เฉินกล่าวว่า จะให้ตนเองไปรวมตัวกับน้องชายที่เมืองจินหลิง เขาอดไม่ได้ที่จะอุทานด้วยความประหลาดใจว่า “โสว่เต๋อ…เขาอยู่ที่เมืองจินหลิงตลอดเหรอ?” “ถูกต้อง” เย่เฉินกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เพื่อนของผมมีฟาร์มสุนัขอยู่ที่เมืองจินหลิง นอกจากเลี้ยงสุนัขต่อสู้แล้ว ยังเลี้ยงคนเป็นครั้งคราว” ซูโสว่เต้าอดไม่ได้ที่จะหดคอตนเอง และแอบคิดว่า “ฟาร์มสุนัข และเลี้ยงคนเป็นครั้งคราว แม่งฉิบหายสิ่งที่เขาพูดคือคนที่ยังมีชีวิตอยู่หรือเปล่า?” “อีกอย่างที่คุณให้ผมไปพบซูโสว่เต๋อ คุณจะโยนผมเข้าไปในฟาร์มสุนัขด้วยหรือเปล่า?” “ผมต้องทนทุกข์ทรมานในสถานที่ทุรกันดารเช่นนี้มานาน และไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้มีโอกาสกลับมาสักครั้ง น่าจะเป็นเวลาเพียงสัปดาห์เดียวเท่านั้น ให้ผมอยู่ดีกินดีบ้างไม่ได้หรือ?” อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ถึงแม้ว่าเขาจะมีความโกรธแค้นมากมายอยู่ในใจแต่เขาไม่กล้าพูดอะไร เขารู้ดีว่าอยู่ต่อหน้าเย่เฉินแล้วตนเองไม่มีอำนาจเชิงรุกใด ๆ ทั้งสิ้น