“ทำไมไม่มีใครสักคนยินยอมที่จะอยู่เคียงข้างสำนักว่านหลงเพื่อก้าวผ่านความยากลำบากไปพร้อมกัน?” “ในเวลานี้คิดเพียงแค่อยากได้เงินเท่านั้น คนเนรคุณคนยังไม่เหี้ยเท่าพวกเขาหรอกมั้ง?” ลู่เห้าเทียนรีบพูดกล่าวว่า : “ประมุข พวกกลุ่มลูกน้องของเรานี้เป็นทหารรับจ้างนะ……” “พวกคนเหล่านี้ก่อนหน้านี้เป็นกองกำลังพิเศษของแต่ละประเทศ ตอนที่พวกเขาจงรักภักดีรับใช้ประเทศของตัวเอง ล้วนมีจิตใต้สำนึกและความรู้สึกเป็นเกียรติร่วมกันอย่างแรงกล้าจริงๆ” “แต่……แต่นั่นก็ไม่ใช่ความรู้สึกที่เกิดขึ้นมาโดยไม่มีสาเหตุ……” “นั่นเป็นความรักและจงรักภักดีต่อประเทศบ้านเกิดของพวกเขาตั้งแต่เล็กจนโต ที่สะสมมา20-30ปีจนกระทั่ง30-40ปี……” “แต่หลังจากที่พวกเขาเป็นทหารรับจ้างแล้ว เป้าหมายก็ง่ายดายอย่างมาก ก็คือเพื่อหาเงินเท่านั้นเอง……” ลู่เห้าเทียนพูดเยอะมากอย่างไม่หยุดหย่อน อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ แล้วพูดอีกว่า : “นี่ก็เหมือนกับผู้หญิงเหล่านั้นที่ตกอยู่ในโลกโลกีย์ ตอนที่คนเขายังไม่เลิกอาชีพเก่าก็ยังคุยเรื่องความรู้สึกได้ แต่เมื่อเปลี่ยนมาทำการค้าขาย ก็ทำเพื่อหาเงิน ถ้าหากเราไม่ให้เงิน แล้วยังจะมาพูดเรื่องความรู้สึกกับพวกเธอ งั้นก็ไม่ค่อยอยู่ในโลกความจริงสักเท่าไหร่จริงๆ……” ว่านพั่วจวินได้ยินมาถึงตรงนี้ มีท่าทางเก้ๆกังๆขึ้นมาทันที เขารู้ความหมายในคำพูดของลู่เห้าเทียนไปโดยปริยาย เขาก็เข้าใจ ไม่ให้เงินแต่ยังอยากให้ทหารรับจ้างทำงานให้ตัวเอง งั้นก็เป็นการพูดเพ้อฝันของคนบ้า แต่ว่า ตอนนี้เขาไม่สามารถยอมรับความสูญเสียที่มากกว่านี้ได้อีกแล้ว ถ้าหากคนหายไปกันหมด ต่อไปสำนักว่านหลงจะพัฒนาไปได้อย่างไร? เพียงแต่ คนกลุ่มนี้ไร้สัจจะเกินไปหน่อยจริงๆ นี่ก็เพิ่งจะเกิดปัญหาขึ้น ก็รีบยื่นข้อเสนอทันที จะต้องจ่าย 70%ตามเงินเดือนปกติของพวกเขา คนกว่าหลายหมื่นคนนี้ ต้นทุนเงินเดือนรายวันก็เกินกว่า100 ล้านเหรียญสหรัฐ นอกจากนี้แล้ว หนึ่งหมื่นห้าพันคนนั่นที่ซีเรีย ก็ต้องจ่ายเงินคิดหาวิธีช่วยออกมา บวกกับตอนที่สู้รบก็เกิดความสูญเสียจำนวนมหาศาลแล้ว จำนวนตัวเลขนี้ยังจะเพิ่มขึ้นกว่าหลายทวีคูณ สิ่งที่ฉิบหายที่สุดก็คือ ตอนนี้แต่ละประเทศก็ไม่ยินยอมที่จะทำงานร่วมกันกับสำนักว่านหลง รายได้หลังจากนี้แทบจะถูกตัดออกหมดแล้ว ใครจะรู้ว่าต้องหยุดถึงเมื่อไหร่ถึงจะสามารถมีโอกาสพลิกกลับมา? ถ้าหากเป็นแบบนี้ต่อไปละก็ ความหายเสียในครั้งหน้าทั้งก่อนและหลังจะต้องเพิ่มขึ้น กว่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐก็อาจจะไม่สามารถระงับไว้ได้ คิดมาถึงตรงนี้ ว่านพั่วจวินคนทั้งคนก็รู้สึกแย่อย่างมาก สำนักว่านหลงประสบความยากลำบากที่หนักหน่วงเช่นนี้ ตัวเองไม่สามารถพุ่งเข้าไปจัดการปัญหาได้ทันที ความรู้สึกที่เกินกำลังของตัวเองแบบนี้ ยิ่งทำให้เขาปวดใจอย่างมาก ในเวลานี้ ลู่เห้าเทียนเอ่ยปากพูดแนะนำ : “ประมุข ผมคิดว่าคุณไม่เสียหายอะไรลองตอบรับเงื่อนไขของพวกเขาก่อนก็ได้ ช่วงวิกฤต จ่ายต้นทุนเพิ่มหน่อยก็เป็นสิ่งที่ยอมรับได้ แบล็ควอเตอร์ของอเมริกาคิดอยากจะดึงคนของพวกเรามาตลอด พวกเขามีออเดอร์จากทำเนียบขาวในหลายประเทศในตะวันออกกลาง กำลังขาดกำลังคน หากเรายังไม่สามารถทำให้จิตใจของทหารนิ่งได้ ผมเกรงว่าพวกเขาจะต้องย้ายไปแบล็ควอเตอร์แน่เลย!” ว่านพั่วจวินพยักหน้าด้วยสีหน้าเยือกเย็น เอ่ยปากพูดว่า : “ก็เอาตามที่แกพูดแล้วกัน หลังจากที่ให้ทุกคนถอนตัวออกจากแนวหน้าก็ไปพักผ่อนก่อนแล้วกัน ช่วงเวลาที่พักผ่อนนี้ เราจะจ่ายค่าตอบแทนโดยคิดให้ 70% เรื่องอื่นๆ รอฉันกลับไปค่อยว่ากัน!” พูดแล้ว ว่านพั่วจวินก็มองดูวันที่บนนาฬิกาอีก พูดด้วยท่าทางที่เงียบขรึมว่า : “วันนี้คือวันที่ 2 เมษายนแล้ว เหลืออีกสามวันสุดท้ายก็ถึงเทศกาลเช็งเม้งแล้ว เราใช้โอกาสวันที่ 5 เมษายน เทศกาลเช็งเม้งในวันนั้นจัดการปัญหา วันที่6เมษายน ช้าสุด 7เมษายน เราก็ออกเดินทางไปซีเรีย! ” “ไม่มีปัญหา!” ลู่เห้าเทียนพูดอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย : “ถึงตอนนั้น เราขึ้นไปฆ่าบนภูเขาเย่หลิงซานด้วยกัน หลังจากที่บีบบังคับตระกูลเย่ให้ยอมปล่อยภูเขาเย่หลิงซานออกมา วันที่6 เมษายนก็รีบเคลื่อนย้ายโลงศพของพ่อแม่คุณเข้าไปทันที!” ว่านพั่วจวินโบกไม้โบกมือ พูดอย่างเยือกเย็น : “ช่วงเวลาคับขัน ไม่รอถึง6 เมษายนแล้ว มะรืนนี้พวกแกไปเชิญเถ้ากระดูกของพ่อแม่ฉันออกมาพร้อมกันกับฉัน นำไปใส่ไว้ในโลงศพที่ฉันเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว วันที่5นั้น ยกโลงศพของพ่อแม่ฉันไปที่ภูเขาเย่หลิงซาน!ก็จะได้ให้พ่อแม่ของฉันเป็นพยานที่นั่นด้วยเลย ว่าฉันจะทำให้เย่เฉินคุกเข่าได้อย่างไร แล้วค่อยนำเถ้ากระดูกของเย่ฉางอิงไปทำลายทิ้ง !