ตาของเย่เฟิงแทบหลุดออกจากเบ้าอยู่แล้ว เขามองไปยังเย่ฉางหมิ่นที่มีใบหน้าทั้งเกรงและกลัว และบ่นในใจว่า“นี่ยังเป็นคุณอาผู้เย่อหยิ่งจองหองและไม่มีใครในเย่นจิงไม่รู้จักอีกหรอ ยังเป็นอาที่ไม่มีใครรู้จักอีกหรอ?เธอในเมื่อก่อน ผมเธอหายไปแม้แต่เส้นเดียวยังต่อสูงกับอีกฝ่ายสุดตัว แต่เสียเปรียบเย่เฉินขนาดนี้ ทำไมเขาถึงไม่มีความคิดเคียดแค้น?” เมื่อคิดถึงตรงนี้ เขาก็ถามอย่างไม่พอใจว่า“คุณอาครับ หรือคุณอาไม่รู้สึกว่าที่เย่เฉินต่อกรกับคุณอาในตอนนั้น มันทำเกินไป?หรือคุณอาไม่รู้สึกโกรธเย่เฉินบ้างเลย?” เย่ฉางหมิ่นถอยหลังไปหนึ่งก้าว แล้วพูดอย่างจริงจังว่า“ฉันไม่ใช่ ฉันไม่ได้ แกพูดบ้าอะไรน่ะ……” คางของเย่เฟิงแทบตกลงพื้น เขาจ้องมองเย่ฉางหมิ่นอย่าอ้าปากตาค้าง เขาไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่า ตนอยากหลอกถามเธอสักหน่อย ใช้วิธีจุดไฟความโกรธของเธอที่มีต่อเย่เฉิน แต่ใครจะรู้ว่า แต่เธอกลับปฏิเสธติดต่อกันหลายครั้ง…… ในเวลานี้เองเย่เฉินรู้สึกทุกข์ใจมาก เขารีบมองไปที่เย่ฉางโคงผู้เป็นพ่อ หวังว่าเย่ฉางโคงจะสามารถลุกขึ้นมาช่วย แต่ว่า เย่โจงฉวนกลับไม่ให้โอกาสเขาเลย สีหน้าของเย่โจงฉวนในตอนนี้ไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก เขาพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชาว่า“เสี่ยวเฟิง เย่เฉินเป็นน้องชายของแก ฉันไม่สนใจว่าแกจะคิดยังไงกับเขา แกจะต้องแสดงความเป็นพี่ชายของตัวเองออกมา แกต้องต้อนรับ และกลมเกลียวกัน” พูดจบ เขาก็มองไปยังคนอื่นๆ แล้วพูดอย่างเฉียบขาดว่า“พวกแกก็เหมือนกัน!” เย่เฟิงไม่กล้าพูดอะไรอีก เขาได้เพียงแต่พยักหน้าอย่างไม่พอใจ“ผมเข้าใจแล้วครับคุณปู่” เย่โจงฉวนกล่าวอย่างเย็นชา“อีกหนึ่งชั่วโมงกว่าเฉินเอ๋อจะเดินทางมาถึงแล้ว แกรีบไปเตรียมตัวเร็วเข้า ไปรับน้องชายของแกกลับมา!” “ผม?”เย่เฟิงถามด้วยสีหน้าแปลกใจ“จะให้ผมไปรับที่สนามบิน?” “ก็ใช่น่ะสิ!”เย่โจงฉวนกล่าว“เฉินเอ๋อพูดในสายว่าเขาอยากไปตระกูลกู้ก่อน แต่เขาจากบ้านไปนานหลายปี ในที่สุดก็กลับบ้านสักที พอเครื่องลงจอดก็น่าจะมาที่ตระกูลเย่ จะเป็นตระกูลกู้ได้ยังไง!เพราะฉะนั้นแกพาคนไปรับที่สนามบินหน่อย พูดเกลี้ยกล่อมเขาดีๆ รับเขากลับมาที่ตระกูลเย่” เย่เฟิงได้ยินว่าจะให้ตนไปรับเย่เฉิน เขาจึงรู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก เขารู้สึกว่า ตนเป็นหลานชายคนโตของตระกูลเย่ต่างหาก ตำแหน่งหลานชายคนโตมันก็เท่ากับรัชทายาท หลายชายคนอื่นๆเห็นตัวเองต่างต้องเคารพนอบน้อม เย่เฉินเป็นแค่คนที่จากบ้านไปนานหลายปี มีสิทธิ์อะไรให้ตนผู้เป็นหลานชายคนโตไปรับเขากัน? เมื่อคิดได้ดังนั้น เย่เฟิงจึงพูดอย่างไม่เต็มใจว่า“คุณปู่ครับ ยังไงเย่เฉินเขาก็กลับมาแล้ว เดี๋ยวผมให้คนส่งขบวนรถไปรับ ให้พ่อบ้านถังนำขบวนรถไปรับเขาก็ได้ แค่นี้มันก็ยิ่งใหญ่พอแล้วไม่ใช่หรอครับ?ผมไม่เห็นจำเป็นต้องไปด้วยเลย?” เย่โจงฉวนพูดอย่างเด็ดขาด“แกไปแล้วถึงจะสามารถแสดงความจริงใจของตระกูลเย่ได้!” เย่เฟิงขมวดคิ้วแล้วกล่าวว่า“เย่เฉินเป็นลูกชายของอารอง ถึงจะจากบ้านไปนานยังไงก็ยังเป็นครอบครัวเดียวกัน ในเมื่อเป็นครอบครัวเดียวกันไม่จำเป็นต้องห่างเหินกันขนาดนั้นก็ได้มั้งครับ ยังจะแสดงความจริงใจอะไรอีก?” เย่โจงฉวนพูดอย่างเคร่งขรึมว่า“แกจะไปเข้าใจอะไร เย่เฉินจากบ้านไปตอนแปดขวบ จนถึงตอนนี้เขาก็ไม่เคยได้กลับมาอย่างเป็นทางการ ได้กลับสู่บ้านเกิดของบรรพบุรุษ จนตอนนี้เขายังเห็นว่าเราเป็นคนนอก ดังนั้นเราต้องให้เขาสัมผัสได้ถึงความจริงใจของตระกูลเย่ แบบนี้ถึงจะสามารถทำให้เขายอมกลับถิ่นบ้านเกิดของบรรพบุรุษได้อย่างเต็มใจ!” เย่เฟิงคิดไม่ถึงว่าเย่โจงฉวนจะให้ความสำคัญกับเย่เฉินขนาดนี้ เขารู้สึกไม่สบอารมณ์เป็นอย่างมาก อดที่จะบ่นในใจไม่ได้ว่า“เย่เฉินคนนี้ จากไปก็เกือบยี่สิบปีแล้ว จู่ๆจะกลับมา ตกลงมันคิดอะไรอยู่กันแน่?หรือว่าอยากมาแย่งสิทธิ์การเป็นทายาทสืบทอดตระกูลเย่กับกู?” “ยังมีคุณท่านอีก เอาแต่ปกป้องเย่เฉิน หรือว่าอยากให้เย่เฉินกับฉันคอยถ่วงดุลกันในตระกูลเย่?” “เป็นแค่เศษสวะที่ใช้ชีวิตพเนจรอยู่ข้างนอกมายี่สิบปี คู่ควรเป็นพี่น้องกับเย่เฟิงคนอย่างฉันงั้นหรอ?!” “ไม่รู้ว่าคุณปู่เห็นความดีงามของมันตรงไหน หรือว่าเป็นเพราะเขามีสัญญาเกี่ยวดองกับตระกูลกู้?!” เย่เฟิงในตอนนี้ ถึงแม้จะไม่สบอารมณ์และโกรธแค่ไหน แต่เขาก็ไม่กล้าขัดคำสั่งของคุณปู่ ดังนั้น เขาจึงทำได้เพียงแค่กล้ำกลืนความโกรธ แล้วตอบตกลง“ได้ครับคุณปู่ งั้นผมขอไปเตรียมตัวไปรับเขา ก่อนนะครับ” เย่โจงฉวนพยักหน้าเบาๆ แล้วมองไปที่เย่เห้าลูกชายคนโตของเย่ฉางหยุน แล้วสั่งว่า“เห้าเห้าแกก็ไปด้วยกันซะสิ!