เนื่องจากทั้งตระกูลเย่และตระกูลกู้ต่างได้เตรียมขบวนรถไว้แล้ว กู้เย้นจงจึงให้ขบวนรถของตระกูลกู้ขับตามไปด้วย ถือเป็นการเสริมภาพลักษณ์ให้เย่เฉินขึ้นอีกหน่อย ระหว่างทางไปตระกูลเย่ ถังซื่อไห่ขับรถด้วยตนเอง และรายงานเรื่องที่เกิดขึ้นกับเฮเลน่าในวันนี้ให้เย่เฉินฟังอย่างละเอียด หลังจากเย่เฉินฟังจบ เขามีความรู้สึกสามประการเท่านั้น ประการแรก เฮเลน่าปกปิดความจริงและมีเจตนาร้ายจริง ๆ ประการที่สอง ตระกูลเย่หาแพะรับบาปอย่างไร้ยางอายมาก ประการที่สาม เฮเลน่าและตระกูลเย่สามารถบรรลุข้อตกลงร่วมกันได้ โดยสามารถพิสูจน์ว่าทั้งคู่เป็นคนที่ฉลาดเฉลียว และเลวร้ายทั้งคู่ นอกจากนั้น เขายังสามารถสันนิษฐานได้ว่าตอนนี้เฮเลน่านั้นน่าจะเข้าตาจนแล้ว ทางฝั่งหัวเซี่ยนั้นเป็นเรื่องยากที่ตระกูลเย่จะยินยอมให้เธอแต่งงานเข้ามาในตระกูล ส่วนฝั่งราชวงศ์ยุโรปเหนือ สมาชิกราชวงศ์พวกนั้นใช้ชีวิตแม่มาข่มขู่เธอ และเป็นไปไม่ได้ที่จะปล่อยให้เธอกลับไปอย่างง่ายดาย ตอนนี้สามารถกล่าวได้ว่าเธอนั้นอยู่ในภาวะที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออก แต่เย่เฉินไม่เคยคิดที่จะช่วยเฮเลน่า ประการแรกเธอไม่ใช่คนคุ้นเคย และประการที่สองถึงแม้เฮเลน่าจะน่าสงสาร แต่เธอเป็นคนที่เจ้าเล่ห์เกินไป คนประเภทนี้ไม่เหมาะกับการไปมาหาสู่มากเกินไป เมื่อรถโรลส์-รอยซ์ยี่สิบคันขับเข้ามาในตระกูลเย่ เย่โจงฉวนพาสมาชิกทุกคนของตระกูลเย่ออกมาต้อนรับด้วยตนเอง ท่ามกลางฝูงชน เฮเลน่าซึ่งได้เปลี่ยนเป็นชุดที่เป็นทางการ และแต่งหน้าอย่างดี ทำให้มองไม่ออกว่าเธอเพิ่งเดินออกมาจากประตูนรก ขณะนี้เย่โจงฉวนรู้สึกตื่นเต้นเป็นพิเศษ เย่โจงฉวนมีความคาดหวังกับเย่เฉินมาก ไม่เพียงแต่ความแข็งแกร่งที่ไม่สามารถคาดเดาของเย่เฉิน แต่ยังเป็นเพราะพลานุภาพการทำลายล้างที่เย่เฉินแสดงต่อตระกูลซู และที่ตะวันออกกลางอีกด้วย เพราะเย่เฉินเป็นคนกำความลับเรื่องที่สามารถทำให้คนตายฟื้นคืนชีพ และเรื่องที่กลับไปสู่วัยเยาว์ ไม่ต้องกล่าวถึงเรื่องที่เฮเลน่ากัดนิ้วจนรอดชีวิตเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน ช่วงเวลานี้สังคมชั้นสูงทั้งหมดในเย่นจิงยังคงต้องการเข้าใจว่า ทำไมกู้เย้นจงหายจากมะเร็งตับอ่อนระยะสุดท้ายได้อย่างไร? เขาหายอย่างอัศจรรย์ กระทั่งดูเหมือนจะหนุ่มขึ้นมาอีกยี่สิบปี แต่น่าเสียดายที่กู้เย้นจงปิดปากเงียบและไม่เปิดเผยอะไรกับคนภายนอก ถึงแม้จะเป็นเพื่อนสนิท เขาก็ไม่ยอมเปิดเผยแม้แต่น้อย คนอื่นไม่รู้เหตุผล แต่เย่โจงฉวนรู้ดี เขารู้ว่าทั้งหมดนี้เป็นการกระทำของเย่เฉิน เพราะเย่เฉินกล่าวกับเย่ฉางหมิ่นด้วยตนเอง เพียงแค่เรื่องนี้ เย่โจงฉวนก็เต็มใจที่จะก้มหัวให้เย่เฉินแล้ว หากการก้มหัวสามารถแลกกับการมีอายุยืนยาวถึงยี่สิบปี มันจะข้อแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่าที่สุดในชีวิตของเขา เพียงแต่นอกจากเย่ฉางหมิ่นแล้ว คนอื่น ๆ ของตระกูลเย่นั้นไม่เข้าใจว่าคุณท่านกำลังทำอะไรอยู่ ให้เย่เฉินกลับมาก็เท่านั้นเอง เพราะอย่างไรเสียเขาก็เป็นลูกหลานสายตรงของตระกูลเย่ แต่การที่คุณท่านพาลุง ป้า น้า อา และลูกพี่ลูกน้องของเย่เฉิน มาต้อนรับเย่เฉินที่ประตูใหญ่ ซึ่งการกระทำที่ลดตนเช่นนี้ ทำให้คนกลุ่มนี้ยากที่จะยอมรับได้ อย่างไรก็ตาม เย่โจงฉวนไม่ได้พูดอะไร และไม่ให้พวกเขาพูดอะไร เมื่อคนอื่น ๆ เห็นเขาเดินออกไป พวกเขาทำได้เพียงเดินตามออกไปเท่านั้น ไม่นาน รถที่เย่เฉินนั่งก็มาจอดตรงหน้าคนของตระกูลเย่ เย่เฉินมองเย่โจงฉวนที่อยู่ด้านนอกผ่านหน้าต่างรถ และคนของตระกูลเย่ที่ยืนเรียงรายสองแถวอยู่ข้างหลังเย่โจงฉวน ด้วยอารมณ์ความรู้สึกหลากหลาย ตอนนั้นตอนที่พ่อแม่พาตนเองออกจากตระกูลด้วยความโกรธเคือง ตอนนั้นไม่มีคนของตระกูลเย่ไปส่งพวกเขาสักคน 20 ปีต่อมา เมื่อตนเองกลับมาตระกูลเย่ คุณท่านพาทุกคนออกมาต้อนรับเขา เมื่อเทียบกันแล้ว ช่างน่าขำสิ้นดี! ขณะนี้ เย่เฉินนั่งอยู่ในรถและไม่คิดที่จะลงจากรถ ถังซื่อไห่ลงจากรถ รีบเดินไปยืนอยู่ฝั่งประตูที่เย่เฉินนั่งอยู่ หลังจากนั้นเขาเปิดประตูรถ และกล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “คุณชายเฉิน พวกเรามาถึงแล้วครับ” เย่เฉินพยักหน้าเล็กน้อย เขายังไม่รีบลงจากรถ แต่กล่าวกับกู้ชิวอี๋ที่นั่งอยู่ในรถว่า “หนานหนาน ลำบากคุณแล้วที่อุตสาห์มาส่งผม” กู้ชิวอี๋ยิ้มหวาน “พี่เย่เฉิน คุณเกรงใจฉันทำไมล่ะ?” เย่เฉินพยักหน้าและกล่าวว่า “งั้นผมลงไปก่อน ตอนกลางคืนคุณไม่ต้องมารับผม หลังจากผมทำธุระเสร็จแล้ว ผมจะให้พ่อบ้านถังไปส่ง” “ค่ะ” กู้ชิวอี๋รีบกล่าวว่า “งั้นฉันจะรอคุณอยู่ที่บ้านน่ะ”