ตอนที่เย่โจงฉวนกล่าวคำว่าเย่เฉิน เย่ฉางโคงนั่งกลับมาที่เก้าอี้ของตนเองอีกครั้ง ความโกรธที่อยู่ในใจ ทำให้เขารู้สึกชาเล็กน้อย “เริ่มตั้งแต่วันนี้ตอนที่คุณท่านขอให้คนตระกูลทุกคนออกไปต้อนรับเย่เฉิน ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับเย่เฉินนั้นเกินมาตรฐานปกติไปแล้ว!” “สามารถดูออกว่าคุณท่านต้องการสนับสนุนเย่เฉินขึ้นตำแหน่ง…….” “สำหรับผมและเสี่ยวเฟิงแล้ว นี่เป็นสัญญาณที่อันตรายอย่างยิ่ง ถ้ามันยังคงพัฒนาเช่นนี้ต่อไปเรื่อย ๆ บางทีเย่เฉินอาจแทนที่ตำแหน่งทายาทของผม!” และขณะนี้ เย่โจงจั่ว ลูกชายและหลานชาย พวกเขาทั้งสามคนรู้สึกตกตะลึงเมื่อได้ยินว่าเย่เฉินเป็นลูกชายของเย่ฉางอิง เย่โจงจั่วมองสำรวจเย่เฉินตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า ถอนหายใจและกล่าวว่า “เหมือนฉางอิงจริง ๆ!” หลังจากนั้น เขามองไปที่เย่โจงฉวนและถามว่า “พี่ใหญ่ เฉินเอ๋อหายไปหลายปีแล้วไม่ใช่หรือ? คุณหาเขาพบตั้งแต่เมื่อไหร่? เรื่องใหญ่ขนาดนี้ ทำไมคุณถึงไม่บอก พวกเราก่อน พวกเราจะได้มีความสุขด้วย!” เย่โจงฉวนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจอเฉินเอ๋อมาระยะหนึ่งแล้ว แต่เฉินเอ๋อเป็นคนที่ค่อนข้างถ่อมตน ช่วงเวลาที่ผ่านมานั้นเขาไม่ได้อยู่ที่เย่นจิง หลังจากออกจากบ้านไปหลายปี วันนี้เป็นครั้งแรกที่เขากลับมา” “ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง!” เย่โจงจั่วหันไปมองเย่เฉิน ยื่นมือที่มีรอยย่นไปจับมือเย่เฉินไว้แน่น ถอนหายใจและกล่าวว่า “เฉินเอ๋อ พ่อของคุณเป็นความภาคภูมิใจของตระกูลเย่ จนถึงตอนนี้พวกตระกูลร่ำรวยสูงศักดิ์ที่อยู่ในทวีปอเมริกาเหนือ เมื่อเอ่ยชื่อพ่อของคุณแล้ว พวกเขายังคงเปลี่ยนน้ำเสียง เมื่อคุณกลับมาตระกูลเย่แล้ว คุณต้องสืบทอดเจตนารมณ์ของพ่อ และทำให้ตระกูลเย่เจริญรุ่งเรืองขึ้นไปอีก!” เย่เฉินจำคุณปู่รองไม่ได้มากนัก แต่เขาสามารถมองออกว่าสิ่งที่คุณปู่รองกล่าวนั้นมาจากก้นบึ้งหัวใจ ดังนั้นเขาจึงกล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “คุณปู่รอง วางใจเถอะ ผมจะทำเช่นนั้นแน่นอน!” “ดี! ดีมาก!” เย่โจงจั่วกล่าวด้วยความพึงพอใจ “เป็นเรื่องน่ายินดีจริง ๆ ที่ลูกชายของเย่ฉางอิงกลับมาตระกูลเย่ งานไหว้บรรพบุรุษในวันพรุ่งนี้ บรรพบุรุษคงจะปลื้มปีติเป็นอย่างมาก!” เย่ฉางหมิงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจและกล่าวว่า “ตอนที่ฉางอิงมีชีวิตอยู่ เขาเป็นแสงสว่างของตระกูลเย่ พวกเรารุ่นเดียวกันทุกคนต่างชื่นชมเขามาก หวังว่าเฉินเอ๋อจะสามารถสืบทอดเจตนารมณ์ของพ่อ และกลายเป็นแสงสว่างของตระกูลเย่ต่อไป!” เย่โจงฉวนหัวเราะและกล่าวว่า “ผมเชื่อว่าเฉินเอ๋อสามารถทำได้อย่างแน่นอน!” หลังจากนั้น เขากล่าวอีกว่า “น้องรอง คุณพาฉางหมิงและเสี่ยวฝานไปนั่งด้านข้างก่อน วันนี้พวกเราเริ่มช้าไปครึ่งชั่วโมง เวลามีจำกัด ดังนั้นผมจะไม่แนะนำและทักทายทีละคนแล้ว” เย่โจงจั่วพยักหน้าและกล่าวว่า “ได้ครับ พี่ใหญ่ ถ้าเช่นนั้นพวกเราไปนั่งก่อน!” เย่ฉางโคงรู้สึกหดหู่ใจเป็นอย่างมาก “ในกระบวนการพบปะเยี่ยมเยียนทั้งหมด ตนเองในฐานะลูกชายคนโต แต่กลับไม่มีโอกาสแม้แต่จะลุกขึ้นและกล่าวทักทายแม้แต่น้อย การกระทำของคุณท่านนั้นเป็นการปูทางให้เย่เฉินโดยสิ้นเชิง!” ขณะที่เย่ฉางโคงรู้สึกโกรธเคืองอยู่ในใจ ญาติต่างสายเลือดชุดที่สองได้เดินเข้ามาพบปะเยี่ยมเยียนแล้ว เหมือนก่อนหน้านั้น เย่โจงฉวนแนะนำเย่เฉินให้รู้จักกับญาติที่มาคารวะ และไม่ให้โอกาสลูกชายคนโตลุกขึ้นเลย เวลาผ่านไปครึ่งชั่วโมง ญาติต่างสายเลือดของตระกูลเย่หลายสิบครอบครัว มากกว่า 100 คนที่มาพบปะเยี่ยมเยียน และการพบปะเยี่ยมเยียนได้เสร็จสิ้นแล้ว ในหมู่พวกเขา ญาติสนิทที่สุดคือน้องชายแท้ ๆ สองคนของเย่โจงฉวน ส่วนรองลงมาคือลูกพี่ลูกน้องที่มีย่าคนเดียวกัน ยิ่งเป็นลำดับข้างหลัง จะเป็นญาติที่ห่างมากขึ้นเรื่อย ๆ หลังจากที่ทุกคนเข้ามาพบปะเยี่ยมเยียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว เย่โจงฉวนยืนขึ้นและกล่าวเสียงดังว่า “ขอบคุณทุกคนที่ลำบากจากแดนไกลมาถึงที่นี่ ทุกคนล้วนเป็นลูกหลานของตระกูลเย่ ไม่ว่าพวกคุณจะอยู่ที่ไหน เลือดในร่างกายของทุกคนนั้นก็เป็นสายเลือดของตระกูลเย่ ทุกคนล้วนได้รับการคุ้มครองจากบรรพบุรุษของพวกเราตระกูลเย่ ดังนั้นงานไหว้บรรพบุรุษคราวนี้ นอกจากไหว้บรรพบุรุษของพวกเราแล้ว ผมยังหวังว่าลูกหลานทุกคนของตระกูลเย่จะมีความสามัคคี และทำให้ตระกูลเย่เจริญรุ่งเรืองไปทั่วโลก!”