หลังจากนั้น เขาหันหน้าไปบอกเย่เฉินที่อยู่ด้านข้างว่า “เฉินเอ๋อ อีกสักครู่คนแรกที่มาพบปะเยี่ยมเยียนคือครอบครัวปู่รอง ไม่รู้ว่าคุณยังจำเขาได้ไหม?” เย่เฉินส่ายศีรษะ “จำไม่ได้แล้วครับ” เย่โจงฉวนกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “ตอนเด็กคุณน่าจะเคยเห็นเขาครั้งหรือสองครั้ง เนื่องจากคุณออกจากไปบ้านนานมากแล้ว และครอบครัวของปู่รองอยู่ที่แคนาดา ไม่ค่อยมีโอกาสกลับมา” หลังจากนั้น เย่โจงฉวนกล่าวอีกว่า “ตระกูลเย่มีญาติมากมาย แต่ครอบครัวของปู่รองใกล้ชิดกับพวกเรามากที่สุด นั่นเพราะว่าเขาเป็นน้องชายแท้ ๆ ของปู่” เมื่อเห็นว่าคุณท่านเย่สนทนาและหัวเราะกับเย่เฉินอยู่ตลอดเวลา คนอื่น ๆ ต่างรู้สึกอิจฉา ไม่นาน ทุกคนได้ยินเสียงถังซื่อไห่ตะโกนว่า “เย่โจงจั่ว กับลูกชายคนโตเย่ฉางหมิง และหลานชายคนโตเย่ฝานมาพบปะเยี่ยมเยียน!” หลังจากกล่าวจบ ชายชราผมขาวเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับชายวัยกลางคนและชายหนุ่ม ชายชราคนนี้เป็นน้องชายของเย่โจงฉวน ชื่อเย่โจงจั่ว เย่โจงจั่วมาพร้อมกับลูกชายคนโตและหลานคนโต เดินตรงมาหาเย่โจงฉวนซึ่งนั่งอยู่ตำแหน่งตรงกลางและกล่าวอย่างตื่นเต้นว่า “พี่ใหญ่! ไม่ได้เจอกันนาน!” เย่โจงฉวนพยักหน้าและกล่าวด้วยรอยยิ้มว่า “คุณไม่ได้กลับมาสองสามปีแล้วใช่ไหม? ไม่กลับมาเยี่ยมพี่ใหญ่อย่างผมเลย เช่นนี้มันไม่สมเหตุสมผลไปมั้ง!” เย่โจงจั่วกล่าวอย่างละอายว่า “พี่ใหญ่ ร่างกายของผมยิ่งอยู่ยิ่งแย่ลง เมื่อสองสามปีก่อนผมป่วยหนัก กระเพาะอาหารถูกตัดออกไปมากกว่าครึ่ง เรื่องนี้พี่ใหญ่ก็รู้ หมอกำชับว่าห้ามเหนื่อยเกินไป ดังนั้นตอนนี้ผมเลยไม่ค่อยออกเดินทางไกล” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เย่โจงจั่วถอนหายใจอีกครั้ง “เดิมทีคราวนี้ลูกหลานไม่ต้องการให้ผมมาร่วมงานไหว้บรรพบุรุษ แต่ผมจะไม่มาได้อย่างไร? บางทีนี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่ผมจะมาเข้าร่วมงานไหว้บรรพบุรุษแล้ว!” เย่โจงฉวนรีบกล่าวว่า “อย่าพูดเหลวไหล ดูแลรักษาสุขภาพให้ดี อีกสิบสองปีคุณยังสามารถมาเร่วมงานไหว้บรรพบุรุษได้อย่างแน่นอน!” เย่โจงจั่ว ถอนหายใจเบา ๆ โบกมือแล้วกล่าวว่า “พี่ใหญ่ ผมรู้จักร่างกายของตนเองดี ถ้าสามารถมีชีวิตอยู่ต่อไปอีกสามหรือห้าปีผมก็รู้สึกพอใจแล้ว จะกล้าคาดหวังถึงสิบสองปีได้อย่างไร?” เมื่อพูดถึงตรงนี้ เย่โจงจั่วกล่าวอีกว่า “ผมเพิ่งสั่งเสียลูก ๆ เสร็จเมื่อหลายวันก่อน ผมคิดว่าหลังจากผมตายแล้ว ส่งศพของผมกลับมาที่หัวเซี่ย และฝังที่หลุมฝังศพบรรพบุรุษของตระกูลเย่ แต่ตอนแรกลูก ๆ ไม่เห็นด้วย พวกเขาคิดว่ามันไกลเกินไป การมาไหว้ผมแต่ละครั้งมันไม่ใช่เรื่องง่าย” เย่โจงฉวนกล่าวโพล่งออกมาว่า “เอาล่ะ น้องรอง! อย่าพูดเรื่องอัปมงคลเช่นนี้อีก คราวนี้กลับมาอยู่หลายวันหน่อย พวกเราพี่น้องจะได้สังสรรค์กัน!” “โอเค!” เย่โจงจั่วพยักหน้าอย่างต่อเนื่อง แล้วกล่าวกับลูกชายและหลานชายที่อยู่ข้าง ๆ ว่า “ฉางหมิง เสี่ยวฝาน ยื่นซื่ออยู่ทำไม รีบคารวะผู้นำตระกูลเย่!” เย่ฉางหมิงรีบคุกเข่าลง สองมือประสานกันและกล่าวว่า “ฉางหมิงขอคารวะลุงใหญ่!” เย่ฝานลูกชายของเขาก็คุกเข่าลงเช่นกัน และกล่าวด้วยความนอบน้อมว่า “เย่ฝานขอคารวะคุณปู่ใหญ่!” เย่โจงฉวนประคองทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม และกล่าวอย่างมีความสุขว่า “มา! น้องรอง ยังมีฉางหมิงและเสี่ยวฝาน ผมจะแนะนำพวกคุณให้รู้จัก” ขณะที่เย่ฉางโคงลูกชายคนโตของตระกูลเย่กำลังเตรียมตัวจะลุกขึ้น เพราะตามกฎแล้ว โอกาสที่เป็นทางการเช่นนี้ ถึงแม้ทุกคนจะรู้จักกันดี แต่มันก็จำเป็นต้องดำเนินการตามพิธีรีตอง และเนื่องจากตนเองเป็นลูกชายคนโต จึงเป็นคนแรกที่ได้รับการแนะนำ แต่ไม่มีใครคิดว่า ขณะที่เขายกบั้นท้ายขึ้นไปสองสามเซนติเมตร เย่โจงฉวนซึ่งอยู่ด้านข้างได้ดึงเย่เฉินไปแนะนำกับเย่โจงจั่ว ลูกชายและหลานทั้งสามคนว่า “นี่คือเย่เฉิน ลูกชายของฉางอิง!”