นี่ไม่ใช่ทางเลือกความเป็นหรือความตาย แต่เป็นทางเลือกระหว่างตายอย่างสง่าผ่าเผยหรืออยู่อย่างไร้ศักดิ์ศรี หากยอมรับเงื่อนไขของว่านพั่วจวิน สามารถช่วยชีวิตคนตระกูลเย่ได้อย่างแน่นอน เพียงแต่ ตระกูลเย่จะไม่มีศักดิ์ศรีอีกต่อไป และตราบใดที่คนของตระกูลเย่ยังมีชีวิตอยู่ จะเป็นตัวตลกของคนอื่นตลอดไป และถึงแม้หลังจากพวกเขาตายไปแล้ว จะยังถูกคนอื่นหัวเราะลับหลังเช่นกัน ดังนั้น เขารู้สึกสับสนที่สุดในชีวิต ตอนนี้ เขาไม่รู้จะทำอย่างไรดี และคนตระกูลเย่ที่อยู่ข้างหลังเขา ตอนนี้พวกเขาต่างมีเจตนาร้าย สมาชิกส่วนใหญ่ของตระกูลเย่นั้นไม่มีศักดิ์ศรีอย่างแท้จริง มีเพียงเงินและสถานะถูกกำหนดโดยความรู้สึกเหนือกว่าที่ฝังลึกอยู่ในใจเสมอมา ดังนั้น เมื่อเผชิญกับการขู่ฆ่า พวกเขาแค่ต้องการมีชีวิตอยู่เท่านั้น ขอเพียงแค่สามารถมีชีวิตรอด เสียหน้าหรือไม่ มันไม่ใช่สิ่งสำคัญ ถ้าไม่ไหวจริง ๆ นำทรัพย์สินที่เหลืออยู่แล้วออกไปจากหัวเซี่ย ไปอยู่ในสถานที่ที่ไม่มีใครรู้จัก และใช้ชีวิตที่เหลืออย่างสงบสุข เช่นนี้ ย่อมดีกว่าตายภายใต้การลอบสังหารของสำนักว่านหลง เพียงแต่ เย่โจงฉวนไม่สามารถยอมรับเงื่อนไขดังกล่าวได้ ขณะนี้ ลู่เห้าเทียนมองเย่โจงฉวน และถามด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “ตาแก่ คุณคิดอย่างไร? คุณจะตกลงหรือปฏิเสธเงื่อนไขของประมุข?!” ภายใต้แรงกดดันมหาศาล เย่โจงฉวนกล่าวช้า ๆว่า “พี่ชายท่านนี้ โปรดรายงานกลับไปยังประมุขของคุณ สำหรับตระกูลเย่แล้วเงื่อนไขเหล่านี้มันโหดร้ายเกินไป ถึงแม้ผมยินยอมยกภูเขาเย่หลิงซานให้เขาก็ตาม แต่โลงศพของบรรพบุรุษของตระกูลเย่ที่อยู่บนภูเขาเย่หลิงซานมากมาย และต้องใช้เวลาพอสมควรในการโยกย้าย……” หลังจากนั้น เย่โจงฉวนหยุดสักครู่และกล่าวอย่างจริงจัง “อีกอย่างเย่ฉางอิงเป็นลูกชายของผม ซึ่งผมในฐานะพ่อ เป็นไปไม่ได้ที่ผมจะทิ้งโลงศพของลูกชายไว้ให้คนอื่น ยิ่งกว่านั้น ตอนที่เขามีชีวิตอยู่ผมได้ทำให้เขาผิดหวังมาครั้งหนึ่งแล้ว เขาตายไปแล้ว ผมจะไม่ทำให้เขาต้องผิดหวังอีก!” เมื่อได้ยินคำพูดของคุณท่าน เย่เฉินเหลือบมองเย่โจงฉวน ต้องยอมรับว่า ตอนนี้การที่เย่โจงฉวนกล้าพูดประโยคดังกล่าว ทำให้เย่เฉินรู้สึกประหลาดใจ และขณะเดียวกันทัศนคติของเขาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย ขณะนี้ เย่โจงฉวนกล่าวต่อไปว่า “นอกจากนั้น เพื่อเป็นการแสดงความขอโทษต่อตระกูลว่าน ผมยินดีที่จะพาคนทั้งหมดของตระกูลเย่ไปสักการะหลังจากที่โลงศพของว่านเหลียนเฉิงและภรรยาย้ายไปที่ภูเขาเย่หลิงซานแล้ว แต่ถ้าให้คนชราอย่างผมใส่เสื้อกระสอบเพื่อไว้ทุกข์ เป็นสิ่งที่ผมยอมรับไม่ได้!” “สุดท้าย เรื่องที่จะให้ผมมอบทรัพย์สินครึ่งหนึ่งของตระกูลให้ประมุข เป็นเรื่องที่ผมยอมรับไม่ได้!” “เมื่อสักครู่ผมเคยพูดแล้ว ผมยินดีให้เงินจำนวนหนึ่งหมื่นล้านหยวนเป็นค่าชดเชย ถ้าหากประมุขไม่พอใจ ผมสามารถเปลี่ยนหยวนเป็นดอลลาร์สหรัฐได้ แต่นี่เป็นขีดจำกัดสูงสุดที่ผมสามารถยอมรับได้!” ลู่เห้าเทียนนึกไม่ถึงว่าโจงฉวนจะแสดงการต่อต้านทุกเงื่อนไขของประมุข ดังนั้นเขาจึงถามเขาด้วยสีหน้าที่โหดเหี้ยมว่า “ตาแก่ คุณคิดว่าผมมาที่นี่เพื่อเจรจากับคุณหรือ? ผมมาที่นี่เพียงเพื่อถ่ายทอดคำสั่งของประมุขเท่านั้น คุณไม่มีสิทธิ์ต่อรองใด ๆ ทั้งสิ้น!” เมื่อเย่โจงฉวนได้ยินประโยคนี้ เขาแสดงสีหน้าไม่กลัวความตายและกล่าวอย่างเย็นชาว่า “ถ้าไม่มีพื้นที่ในการเจรจาต่อรอง งั้นก็ไม่จำเป็นต้องพูดอีกแล้ว ถ้าประมุขของพวกคุณไม่กลัวที่จะสร้างความขุ่นเคืองต่อสาธารณชน สามารถมาฆ่าผมที่ตระกูลเย่ได้ เพราะถึงอย่างไรผมแก่จนอายุปูนนี้แล้ว ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย” เมื่อเย่ฉางโคง ลุงใหญ่ของเย่เฉินได้ยินประโยคนี้ เขารู้สึกกังวลและกระซิบว่า “พ่อ! พ่ออย่าวู่วาม! สำนักว่านหลงนั้นทรงพลังมาก ล้วนเป็นยอดฝีมือ และพวกเขาฆ่าคนได้อย่างเลือดเย็น…..แม้แต่หัวหน้าบอดี้การ์ดอยู่ต่อหน้าพวกเขายังเป็นคนที่อ่อนแอเลย นับประสาอะไรกับคนธรรมดาอย่างพวกเรา…..พ่อแก่แล้ว แต่เสี่ยวเฟิง เสี่ยวเห้าและคนอื่น ๆ ยังอายุน้อย!” เย่โจงฉวนจ้องเขาและถามอย่างเย็นชาว่า “ทำไม? คุณในฐานะลูกชายคนโตของตระกูลเย่ ต้องการให้พ่อยอมรับเงื่อนไขของพวกเขาหรือ?!”