พูดแล้ว เขาก็นำหน้าไป ก้าวเดินไปยังซุ้มประตูของสุสานบรรพบุรุษตระกูลเย่ และในเวลานี้เย่เฉินก็ก้าวเดินมาถึงด้านล่างของซุ้มประตูสุสานแล้ว สมาชิกตระกูลเย่นอกจากเย่โจงจั่ว และเย่ฉางซิ่วอาสาวคนเล็กของเย่เฉินแล้ว คนอื่นๆก็ไม่มีใครกล้าเดินไปหน้าเกินไป แต่ละคนต่างก็พยายามเดินถอยหลังทั้งนั้น แต่ว่า ผู้คนเหล่านั้นที่มาช่วยเหลือเย่เฉิน ต่างก็ยืนอยู่ข้างเย่เฉิน แม้ว่าจะเป็นเด็กผู้หญิงสามสี่คน ก็ไม่มีสีหน้าที่เกรงกลัวเลยสักนิด ซูจือหยูแค่มองแวบเดียวก็จำได้ทันทีว่า ชายชราที่เสื้อชุดขาวไว้ทุกข์คนนั้นที่อยู่ในกองทัพทหารคือซูเฉิงเฟิงปู่ของตัวเอง ทันใดนั้นก็พูดถามอย่างตกใจว่า : “ปู่ คุณ……นี่คุณ……” ซูเฉิงเฟิงให้ฝันยังไงก็คิดไม่ถึงว่า หลานสาวของตัวเองจู่ๆจะอยู่ที่นี่ด้วย! แล้วค่อยก้มมองดูชุดไว้ทุกข์ที่ตัวเองสวมใส่อีกครั้ง เขาแค่รู้สึกว่าใบหน้าแก่ๆร้อนผ่าว แทบอยากจะมุดดินหนีเข้าไปแล้ว ตอนที่กำลังรู้สึกอึดอัด ทันใดนั้นก็เห็นตู้ไห่ชิงที่อยู่ข้างกายของซูจือหยู เมื่อเห็นตู้ไห่ชิงก็รู้สึกตกใจอย่างมาก ในขณะเดียวกันยังนำมาซึ่งสายตาที่ดูถูกเล็กน้อย ใบหน้าก็ยิ่งจะร้อนผ่าวขึ้นแล้ว ซูเฉิงเฟิงเพิ่งคิดอยากจะหลบหลีกสายตาของตู้ไห่ชิง สุดท้ายกับพบเจอเงาร่างของอีกคนในกลุ่มคนที่ทำให้เขารู้สึกช็อกอย่างมาก! คิดไม่ถึงว่าจะเป็นหลานสาวอีกคนของตัวเอง ลูกสาวนอกสมรสของซูโสว่เต้า ซูรั่วหลี! ในเวลานี้ ในใจของซูเฉิงเฟิงรู้สึกช็อกอย่างมาก : “จู่ๆซูรั่วหลีก็ยังมีชีวิตอยู่……” “เธอแม่งทำไมถึงอยู่ที่นี่ด้วย?!” “ยังมีเหอหงเซิ่ง!แม่ง ทำไมสมาชิกตระกูลเหอถึงมาช่วยเย่เฉินแล้ว?!” ในใจของซูเฉิงเฟิงค่อนข้างโกรธอย่างมาก ลองเปลี่ยนความคิดดู ก็แอบคิดในใจว่า : “สมาชิกตระกูลเหอแล้วจะยังไง?พวกเขาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสำนักว่านหลงเลยด้วยซ้ำ!” เย่โจงจั่วในเวลานี้เห็นซูเฉิงเฟิงแล้ว ในใจก็โมโหมากเช่นกัน อดไม่ได้ที่จะเอ่ยปากพูดว่า : “ไอหยา ที่แท้ก็เป็นเพื่อนซูนี่เอง!แกอายุมากขนาดนี้แล้ว นี่ใส่ชุดไว้ทุกข์ให้ใครเหรอ?หรือว่าแกอายุมากขนาดนี้ หาที่พึ่งพิงคนใหม่เจออีกแล้วงั้นเหรอ?” ใบหน้าของซูเฉิงเฟิงโกรธอย่างมาก โพล่งพูดว่า : “เย่โจงจั่ว แกสนใจเรื่องตัวเองดีกว่านะ!หลังจากวันนี้ไป ตระกูลเย่ของแกมีแค่หนทางแห่งความตายอย่างเดียว!ยังไม่รีบสวมใส่ชุดไว้ทุกข์ คุกเข่าขอความเมตตาอีก ระวังสุสานบรรพบุรุษตระกูลเย่ของแกล้วนแต่ถูกขุดทิ้งจนเกลี้ยง! ” เย่โจงจั่วพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมและเฉียบขาดว่า : “ซูเฉิงเฟิงแกมันก็แค่หมาแก่ๆ!ที่ใกล้จะตายแล้ว จู่ๆยังจะมาสวมชุดไว้ทุกข์ให้คนอื่นอีก!ไม่มีความละอายแม้แต่น้อยจริงๆ!ฉันเย่โจงจั่วไม่มีทางเป็นเหมือนหมาแก่ๆอย่างแกหรอกนะ เพื่อผลประโยชน์แล้วจะต้องคอยประจบประแจงอย่างไม่รู้สึกละอายต่อหน้าคนอื่น!” ซูเฉิงเฟิงลนลาน : “พวกแซ่เย่อย่างพวกแกสุดยอดกันมาก ในเมื่อสุดยอดกันมากขนาดนี้ งั้นก็หาความสุขจากความสามารถตัวเองแล้วกัน!” ในเวลานี้ ว่านพั่วจวินก้าวมาถึงพร้อมหยุดเดินในระยะสามเมตรตรงหน้าเย่เฉิน เขสมองไปยังเย่เฉินและคนอื่นๆที่อยู่ตรงหน้า กัดฟันพูดด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นว่า : “คนแซ่เย่ เมื่อวานฉันให้คนไปบอกพวกแกแล้ว อยากจะมีชีวิตรอด วันนี้จะต้องสวมขาวไว้ทุกข์ คุกเข่าต้อนรับโลงศพพ่อแม่ของฉัน คิดไม่ถึงว่า พวกแกไม่มีใครยอมทำตามสักคน!ดูเหมือนว่าพวกแกแต่ละคนจะไม่กลัวตายกันเลย!” ในเวลานี้เย่เฉินยิ้มอย่างราบเรียบ: “คนอื่นๆกลัวตายหรือไม่นั้นฉันไม่รู้ ฉันรู้แค่ว่า ฉันไม่กลัว!” สมาชิกในตระกูลเย่ส่วนใหญ่ต่างก็ตึงเครียดจะตายแล้ว เย่ฉางโคงถึงขั้นกับพูดกับเย่เฟิงด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำว่า : “เร็วเข้า!แอบไปเอาชุดไว้ทุกข์มา!” เย่เฟิงรีบพยักหน้าแล้ว ค้อมตัวแล้ววิ่งถอยไป หยิบชุดไว้ทุกข์สองชุด ออกมาจากในข้าวของเครื่องใช้ของพิธีกราบไหว้บรรพบุรุษ หลังจากนั้นเขาก็ยัดไว้ในอ้อมแขนอย่างกับเป็นขโมยเลย สิ่งที่ทำให้เขาไม่คาดคิดก็คือ เย่เห้าก็หยิบชุดไว้ทุกข์สามสี่ชุดออกมาจากกล่องเหล็กที่ใส่ธูป มาไว้ในอ้อมแขนเช่นกัน เหมือนหญิงตั้งครรภ์เลย สองคนมองตากัน ต่างก็เห็นความตกใจในแววตาของกันและกัน และก็มองเจตนาของอีกฝ่ายออก ทันใดนั้นทั้งสองคนก็ไม่มีใครสนใจใครอีก พร้อมทั้งเบือนหน้าเดินเข้าไปในกลุ่มคนแล้ว