เย่ฉางหมิ่นฉลาดมากจริงๆ
เธอรู้ ยามที่คนมีความผิดร่วมกันมากขนาดนี้ ใครยอมรับผิดก่อน คนนั้นก็จะได้โอกาสก่อน
ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องความดีความชอบของเย่เฉิน เธอเข้าใจและประสบกับตัวเองมากกว่าคนอื่นมากมายนัก
ก่อนหน้านี้เธอเคยได้ยินเกี่ยวกับเบื้องหลังที่เย่เฉินลงโทษยอดฝีมือหลายคนของตระกูลอู๋และซูหาง
ตอนนั้นเขาให้หงห้าสลักตัวอักษรบนหน้าผากของคนเหล่านั้น ใครยอมรับผิดเป็นคนแรก ตัวอักษรที่สลักจะมีจำนวนน้อยที่สุด และคนต่อไปก็จะเพิ่มขึ้นทีละหนึ่งตัวตามลำดับ
จนถึงคนสุดท้าย ว่ากันว่าบนหน้าผากเต็มไปด้วยตัวอักษรจนที่ไม่พอสลัก
มีกระจกหน้ารถสะท้อนให้เห็นเหล่านี้แล้ว เย่ฉางหมิ่นจะยอมให้ผู้อื่นคุกเข่าต่อหน้าเขาได้อย่างไร?
เย่เฉินเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าเย่ฉางหมิ่นจะคุกเข่าเร็วขนาดนี้ จึงเอ่ยปากกล่าวขึ้นว่า “คุณเป็นคุณอาของผม ต่อให้มีความผิดมากมายแค่ไหนก็ยังเป็นญาติผู้ใหญ่ของผม ต่อให้ตอนนี้ผมเป็นผู้นำตระกูลเย่ การแบ่งแยกผู้ใหญ่ผู้น้อยไม่อาจทำส่งๆ ได้ ดังนั้นคุณอย่าคุกเข่าให้ผมเลย หากต้องการคุกเข่า ก็คุกเข่าให้กับบรรพบุรุษตระกูลเย่เถอะ!”
สมองของเย่ฉางหมิ่นตอบโต้ได้อย่างรวดเร็วฉับไว ทางหนึ่งคุกเข่า ทางหนึ่งใช้หัวเข่าสองข้างย้ายไปอีกทิศทางหนึ่ง พลางมองไปทางสุสานบรรพบุรุษของตระกูลเย่ที่อยู่ไม่ไกลนัก
ทันทีหลังจากนั้น เธอก็เอาศีรษะโขกลงไปที่พื้นครั้งหนึ่งจนเกิดเสียงดังตึง ก่อนจะร้องไห้กล่าวว่า “บรรพบุรุษที่อยู่เบื้องบนเจ้าคะ! เย่ฉางหมิ่นหลานไม่รักดี วันนี้ไม่สามารถเห็นหน้าตาของบรรพบุรุษและผลประโยชน์ของตระกูลเย่เป็นที่ตั้ง ยังเกือบจะขายบรรพบุรุษกินเสียแล้ว เห็นโจรเป็นพ่อ ละอายใจต่อบรรพบุรุษเหลือเกิน ตายไปก็ไม่เสียดาย! ขอให้บรรพบุรุษลงโทษด้วย!”
ตอนนี้เย่ฉางหมิ่นยอมรับได้ในที่สุด
นิสัยเสียอย่างศักดิ์ศรีเอย หน้าตาเอย เจ้าหญิงเอย เด็กน้อยเอย ชั่วขณะนี้ต่างสลายหายไปหมดแล้ว
เธอรู้ว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ก็คือการได้การให้อภัยของเย่เฉินมาครอบครอง ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เพียงเย่เฉินพูดประโยคเดียวก็สามารถทำให้ตนที่เป็นลูกสาวตระกูลเย่ที่แต่งออกไปแล้วคนนี้ ไสหัวออกไปจากตระกูลเย่ได้ทันที
หากเป็นเช่นนั้นล่ะก็ ตนคงเหมือนกับวิดน้ำด้วยตะกร้าไม้ไผ่ทำไปโดยไม่ได้อะไรโดยแท้
เย่เฉินเห็นเย่ฉางหมิ่นเป็นเช่นนี้ ในใจจึงรู้สึกขบขันอยู่บ้าง
ทว่าเบื้องหน้าเขากลับพยักหน้าด้วยความชื่นชม ก่อนจะเอ่ยปากกล่าวว่า “คุณสามารถยอมรับผิดเป็นคนแรก เป็นฝ่ายสารภาพผิดต่อบรรพบุรุษตระกูลเย่เอง พิสูจน์ได้ว่าคุณยังมีจิตสำนึกกว่าคนอื่นๆ อยู่บ้าง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็สมควรที่จะลดโทษให้!”
พอเย่เฉินพูดคำนี้ออกมา พวกเย่ฉางโคง เย่เฟิง รวมถึงเย่ฉางหยุนและเย่เห้า แต่ละคนก็คุกเข่าลงต่อหน้าสุสานบรรพบุรุษอย่างรวดเร็วราวกับคนบ้า แย่งกันคุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตึงตังตรงตำแหน่งที่อยู่ตรงกลางที่สุด ไม่พูดไม่จาก็เริ่มโขกหัวยอมรับผิดกันอย่างสุดชีวิต
ชั่วขณะที่คนกลุ่มนี้กำลังโขกหัวกันสุดชีวิต จึงเหมือนกับเครื่องขุดเจาะน้ำมันที่ใช้ในบ่อน้ำมันอย่างไรอย่างนั้น ดูไปแล้วช่างน่าขันสิ้นดี
เย่เฉินไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่มองดูพวกเขาแย่งกันโขกศีรษะสารภาพผิดด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก
ในใจเย่เฉินรู้ดีว่าคุณอาเย่ฉางหมิ่นยอมรับแล้วจริงๆ ในเมื่อยอมรับจริงๆ แล้ว ต่อไปย่อมยังสามารถเก็บไว้ในตระกูลเพื่อทำงานให้ตระกูลเย่ แต่คนกลุ่มนี้ที่อยู่ตรงหน้าในตอนนี้ แต่ละคนล้วนมีเล่ห์เหลี่ยมแพรวพราวอยู่เต็มอก จึงไม่อาจปล่อยไปง่ายๆ ได้!
คนกลุ่มนี้โขกศีรษะดังตึงๆ อยู่ครึ่งวัน พร้อมกับที่ยิ่งโขกก็ยิ่งเจ็บ ยิ่งโขกก็ยิ่งไม่สิ้นสุด
เดิมพวกเขายังนึกว่า ขอเพียงแสดงความกระตือรือร้น ท่าทีจริงใจ เย่เฉินก็จะปราณีอย่างที่ทำกับเย่ฉางหมิ่นอย่างแน่นอน
แต่คิดไม่ถึงว่าทุกคนโขกศีรษะมาครึ่งวันแล้ว จนถึงตอนนี้เย่เฉินก็ยังไม่พูดอะไรสักคำ
อับจนปัญญา พวกเขาเองก็ไม่มีใครกล้าหยุดเช่นกัน ทำไดเพียงโขกศีรษะต่อไปไม่หยุด แต่ละคนโขกจนหน้าผากเกิดรอยเขียวช้ำ
กลับเป็นเย่ฉางซิ่วอาเล็กของเย่เฉินที่ทนมองไม่ได้อยู่บ้าง จึงเอ่ยปากกล่าวว่า “เฉินเอ๋อ……หากโขกต่อไปแบบนี้อีก อาจถึงแก่ชีวิตได้นะ……”
เย่เฉินส่ายศีรษะ กล่าวด้วยเสียงราบเรียบว่า “วางใจเถอะครับอาเล็ก คนกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะคนไหนก็ล้วนเป็นพวกหนูไร้ความสามารถที่ขี้ขลาดกลัวตายทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นก็คงไม่อาจหนีออกไปซื้อชุดไว้ทุกข์อย่างเงียบๆ ได้หรอกครับ! ในเมื่อแต่ละคนกลัวตายกันขนาดนี้ แล้วจะโขกศีรษะจนทำให้ตัวเองตายอยู่ที่นี่ได้อย่างไร? นี่มันไม่สอดคล้องกับหลักเหตุผลเลย”
พูดจบ เขาก็มองออกได้อย่างชัดเจนว่าแรงที่เย่เฟิงใช้โขกศีรษะเบาลงไปไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกไร้น้ำยา ด้วยเหตุนี้จึงกล่าวขึ้นด้วยเสียงเย็นชามากขึ้นกว่าเดิม “อาเล็กครับ คุณเห็นเย่เฟิงแล้วใช่ไหมครับ? หน้าผากนั่นของเขาเป็นการเอาปากจูบกับพื้น มองไม่ออกเลยสักนิดว่ากำลังออกแรงอย่างเต็มที่!”