ทุกคนเองก็รู้ งานไหว้บรรพบุรุษตระกูลเย่สิบสองปีถึงจะจัดสักครั้ง เงียบและเคร่งขรึม อีกทั้งงานพิธีก็ไม่ได้เปิดเผยอะไรเช่นกัน ทุกคนรั้งอยู่ที่นี่ยืนดูอยู่ด้านข้างคงไม่สะดวกนักจริงๆ

ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึงพากันมาอำลาเย่เฉินรวมถึงเย่โจงฉวน จากนั้นก็นั่งรถบัสที่ซ่งหวั่นถิงและอิโตะ นานาโกะจัดหามาไปจากภูเขาเย่หลิงซาน มุ่งหน้าไปยังโรงแรมป๋ายจินฮ่านกงของเมืองเย่นจิง

หลังรถบัสหลายคันจากไปแล้ว ที่แห่งนี้นอกจากเหล่าหทารของสำนักว่านหลงที่กำลังคุกเข่าอยู่บนพื้น รวมถึงพ่อลูกตระกูลซูแล้ว ที่เหลือทั้งหมดก็คือคนตระกูลเย่และพ่อบ้านถังซื่อไห่

สำนักว่านหลงโดยมีว่านพั่วจวินเป็นหัวหน้า นำคนเกือบร้อยคนนั่งคุกเข่าท่าปิรามิดอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย คนเหล่านี้นั่งทับขาสองข้าง งอแขนแล้วเอาศีรษะโขกกับพื้นพร้อมกัน

อย่างไรก็ล้วนเป็นนักบู๊ ดังนั้นยามที่แต่ละคนคุกเข่า จึงมีองศาและท่าทางที่เหมือนกัน มองดูพร้อมเพรียงเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

อีกทั้งพวกเขาแต่ละคนคุกเข่าอยู่บนพื้น อากัปกิริยาดูเคร่งครัดเป็นอย่างยิ่ง

โดยเฉพาะว่านพั่วจวินที่คุกเข่าอยู่ด้านหน้าสุด แม้สีหน้าท่าทางจะซ่อนอยู่ภายในวงแขน แต่ก็เต็มไปด้วยความรู้สึกอับอายขายหน้า

ส่วนพ่อลูกตระกูลซู แม้จะไม่กล้าเพิกเฉย แต่อย่างไรสภาพร่างกายก็ทนไม่ไหว คุกเข่าได้ไม่นาน ร่างกายก็รับไม่ไหวแล้ว ด้วยเหตุนี้จึงได้แต่ก้มตัวลงกับพื้นครึ่งหนึ่ง

ส่วนทางฝั่งตระกูลเย่ พวกเย่เฟิงและเย่ฉางโคง มองเย่เฉินอย่างหงุดหงิดไม่สบายใจ เกิดกลัวเขาจะคิดบัญชีในเวลานี้ขึ้นมา

เย่เฉินมองส่งขบวนรถบัสลงจากเขา ค่อยๆ หันกายกลับมา จ้องมองคนตระกูลเย่ด้วยสายตาราวกับคบเพลิง พร้อมกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ “วันนี้ ต่อหน้าบรรพบุรุษของตระกูลเย่ ฉันจะรับช่วงต่อจัดการเรื่องใหญ่น้อยในตระกูลเย่อย่างเป็นทางการ เรื่องแรกภายหลังจากรับช่วงต่อ ก็คือการบำรุงแคลเซียมให้แก่ทายาทตระกูลเย่ที่กระดูกอ่อนแอ!”

คนที่ใจฝ่อได้ยินคำพูดของเย่เฉิน ก็เกิดต้วสั่นขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ พวกเขาเห็นท่าทางนี้ของเย่เฉิน ก็รู้แล้วว่าเขาต้องการเริ่มสะสางบัญชี

เวลานี้ คุณท่านเย่ที่เมื่อครู่ถูกเย่เฉินพูดประโยคเดียวก็คว้าเอาอำนาจของตระกูลเย่ไป จึงเอ่ยปากพูดด้วยถ้อยคำเที่ยงตรงไม่ลำเอียง “เฉินเอ๋อ! สถานการณ์ในตอนนี้ของตระกูลเย่ ต้องการการปรับปรุงอย่างมากจริงๆ! เธอก็อย่าได้ยั้งมือเพราะเห็นว่าเป็นญาติเด็ดขาดล่ะ!”

เย่เฉินพยักหน้า กล่าวเสียงเย็นเยียบว่า “แน่นอนอยู่แล้วครับ! ลูกหลานตระกูลเย่บางคน เพื่อแก้ผ้าเอาหน้ารอดแล้ว ได้นำผลประโยชน์และเกียรติยศของตระกูลเย่โยนทิ้งไปด้านหลังอย่างไม่เสียดาย ได้นำสุสานบรรพบุรุษและทรัพย์สินในครอบครัวประคองสองมือมอบให้ผู้อื่นอย่างไม่เสียดาย ถึงขั้นยังเตรียมชุดไว้ทุกข์ไว้ล่วงหน้า ต้องการไว้ทุกข์ให้กับคนที่ไม่ใช่ญาติไม่ใช่เพื่อนเพื่ออธิษฐานขออภัย คนเหล่านี้ มันต่างอะไรกับคนขายชาติที่คบคิดกับศัตรูยามที่ประเทศชาติคับขันในปีนั้นกัน?!”

คนตระกูลเย่ทุกคนที่ซ่อนชุดไว้ทุกข์ไว้ในอก ต่างเครียดจนขาสองข้างสั่นไปหมด

เย่ฉางหมิ่นที่หวาดกลัวเย่เฉินที่สุด คุกเข่าลงกับพื้นเสียงดังตึง น้ำหูน้ำตาไหลสะอึกสะอื้นกล่าวว่า “เฉินเอ๋อ……อาผิดไปแล้ว……อาทำผิดต่อบรรพบุรุษตระกูลเย่……ตอนนี้เธอเป็นหัวหน้าตระกูลของตระกูลเย่ ไม่ว่าเธอจะลงโทษอย่างไร อาจะไม่บ่นสักคำ……”

เธอทางหนึ่งร้องไห้ ทางหนึ่งควักชุดไว้ทุกข์ที่ซ่อนอยู่ในอกเสื้อออกมาโยนทิ้งลงกับพื้น ร้องห่มร้องไห้อย่างเสียอกเสียใจ “เฉินเอ๋อ ขอร้องเห็นแก่ที่อายอมรับผิดเป็นคนแรก โปรดลงโทษอาสถานเบาด้วย ต่อไปอาจะไม่ทำผิดอีกแล้ว……”

พวกเย่ฉางโคง เย่ฉางหยุนพลันมองอย่างโง่งม

พวกเขายังงุนงงอยู่ว่า ทำไมเย่ฉางหมิ่นที่นิสัยดุร้ายที่สุดถึงยอมรับผิดเป็นคนแรก ที่แท้ก็อยากจะชิงที่หนึ่งเพื่อแย่งขอลดโทษสถานเบานี่เอง!

เย่ฉางโคงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างแค้นเคือง ลอบด่าอยู่ในใจว่า “สมองของฉางหมิ่นหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่?! ขนาดหญ้าบนสันกำแพงก็ยังตอบโต้ไม่เร็วเท่าเธอ!