เมื่อเย่เฉินกลับมาหัวเซี่ย(ชื่อเรียกประเทศจีนสมัยก่อน)ในค่ำคืนของยุโรปเหนือ สมาชิกตระกูลย่อยของตระกูลเย่ที่แตกกระจัดกระจาย กำลังมีจิตใจที่ไม่สงบ ทยอยกลับมาเย่นจิง และมุ่งหน้าไปยังภูเขาเย่หลิงซานที่พระอาทิตย์ยามเช้าขึ้น เตรียมตัวที่จะยอมรับผิดของสำนักว่านหลง
เพราะว่าสำนักว่านหลงประกาศต่อสาธารณชนว่า พวกเขาได้รับบัญชีรายชื่อของงานไหว้บรรพบุรุษของตระกูลเย่ และต้องการให้ทุกคนในบัญชีรายชื่อกลับมา ดังนั้นสมาชิกตระกูลย่อยเหล่านี้ทำได้เพียงย้อนกลับมาที่เย่นจิงอย่างเศร้าหมองอีก
เมื่อพวกเขาหลบหนีตอนกลางคืนก่อนหน้านี้ ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองออกจากเย่นจิงตอนกลางคืนมีปัญหาอะไร
เพราะในความคิดของพวกเขา ตัวเองก็แค่สมาชิกตระกูลย่อยของตระกูลเย่ ไม่เกี่ยวข้องกับความแค้นระหว่างสำนักว่านหลงกับตระกูลเย่
แต่ว่า ในสายตาของเย่เฉิน สมาชิกตระกูลย่อยเหล่านี้แต่ละคนก็ล้วนอาศัยทรัพยากรของตระกูลเย่เพื่อความอยู่รอดก้าวหน้า บางคนถึงขนาดกินกำไรของตระกูลเย่มานานหลายสิบปี
ในช่วงเวลาวิกฤตินี้ คนพวกนี้ไม่มีไมตรีจิตความรักใคร่ต่อความเป็นญาติกันแม้แต่น้อย ถึงขนาดไม่คำนึงถึงพื้นฐานของน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ยังสู้คนแปลกหน้าไม่ได้จริงๆ
ในเมื่อพวกเขาไร้น้ำใจไร้คุณธรรมก่อน ถ้าอย่างนั้นก็อย่าหาว่าตัวเองโหดเหี้ยมอำมหิตทีหลัง
ในเวลานี้ สมาชิกตระกูลย่อยของตระกูลเย่ มีหนึ่งคนนับหนึ่งคน ก็หมดสภาพเป็นอย่างมาก ราวกับไว้ทุกข์ให้กับพ่อแม่ที่เสียชีวิต พวกเขายังไม่รู้ว่าสิ่งต่อไปที่กำลังรอพวกเขาอยู่ จะเป็นจุดจบอย่างไร
เนื่องจากว่า ชื่อเสียงของสำนักว่านหลงนั้นกว้างไกล ใครก็ไม่กล้ารุกรานองค์กรทหารรับจ้างชั้นยอดเช่นนี้
ท้องฟ้าของเย่นจิงเพิ่งจะสว่าง สมาชิกตระกูลย่อยของตระกูลเย่ก็มาถึงที่เชิงเขาภูเขาเย่หลิงซาน
แต่ทว่า เชิงเขาภูเขาเย่หลิงซานในเวลานี้ กลับไม่มีคนของสำนักว่านหลงนั่งบัญชาการรักษาการณ์อยู่ เพราะพลทหารทั้งหมดของสำนักว่านหลง คุกเข่าสำนึกผิดอยู่หน้าหลุมฝังศพบรรพบุรุษของตระกูลเย่
เชิงเขาภูเขาเย่หลิงซานในเวลานี้ คือถังซื่อไห่และทีมสหายร่วมรบเหล่านั้นของเขา ซึ่งเป็นทีมเก่าในปีนั้นของเย่ฉางอิง
สมาชิกหลายคนของตระกูลย่อยมาถึงที่ภูเขาเย่หลิงซาน เห็นถังซื่อไห่ ก็ก้าวไปข้างหน้าถามไถ่ในทันที: “พ่อบ้านถัง คนของสำนักว่านหลงล่ะ? ต้องการให้พวกเราขึ้นไปหรือเปล่า?”
สีหน้าท่าทางของถังซื่อไห่ดูรังเกียจ และพูดด้วยน้ำเสียงที่เคร่งขรึมว่า: “ว่านพั่วจวินประมุขของสำนักว่านหลงสั่งการแล้วว่า หลังจากที่พวกแกมาแล้วก็ให้คุกเข่ารออยู่ที่เชิงเขา!”
ชายคนนั้นรีบถาม: “พ่อบ้านถัง สำนักว่านหลงให้พวกเรากลับมาหมายความว่ายังไงกันแน่?”
ถังซื่อไห่พูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์: “เรื่องนี้ฉันไม่รู้ ความหมายของประมุขว่านคือให้พวกแกคุกเข่าก่อน รายละเอียดจะทำอะไร รอเขามาพวกแกก็จะรู้”
อีกคนหนึ่งถามอย่างกลัดกลุ้มใจมากว่า: “พ่อบ้านถัง ทำไมสำนักว่านหลงต้องให้พวกเรากลับมาด้วย? พวกเขามีความแค้นเย่ฉางอิงในปีนั้น ไม่เกี่ยวอะไรกับพวกเรา พวกเราก็ไม่ได้มีความโกรธแค้นกับพวกเขา ทำไมพวกเขาไม่ปล่อยพวกเราไปด้วย? หรือว่าเพราะพวกเราก็แซ่เย่เหรอ?”
ถังซื่อไห่พูดอย่างดูถูกว่า: “เย่เทียนเสี่ยว ในเวลานี้แกอยากจะตัดขาดความสัมพันธ์กับตระกูลเย่เหรอ? เดือนที่แล้วตอนที่แกวิ่งมาขอกิจการใหม่กับคุณท่าน พูดอย่างเต็มปากเต็มคำว่าจะติดตามคุณท่านไปตลอดชีวิต ยังจะช่วยคุณท่านแบ่งปันความทุกข์ ทำไมในเวลานี้ถึงได้พูดว่าไม่เกี่ยวข้องอะไรกับตระกูลเย่?”
ตัวแทนตระกูลย่อยของตระกูลเย่ที่ชื่อเย่เทียนเสี่ยวคนนั้น พูดอย่างไม่พอใจมาก: “ถังซื่อไห่ แกเป็นแค่คนรับใช้ของตระกูลเย่ เสแสร้งอะไรกับฉันที่นี่? ฉันรู้ว่า แกก็แค่ต้องการเยาะเย้ยฉันที่ทรยศต่อตระกูลเย่ไม่ใช่หรอกเหรอ? ฉันทรยศตระกูลเย่ แกล่ะ? ตอนนี้แกยืนอยู่ที่เชิงเขาภูเขาเย่หลิงซาน ถ่ายทอดคำพูดแทนสำนักว่านหลง ทำไม? แกก็ทรยศตระกูลเย่ กลายเป็นคนรับใช้ของสำนักว่านหลงเหรอ?”
ถังซื่อไห่แสยะยิ้ม: “ฉันกลายเป็นคนรับใช้ของใคร เกี่ยวอะไรกับแก แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ ตอนนี้แกต้องฟังในสิ่งที่ฉันพูด ถ้าหากภายในสามนาที แกยังไม่คุกเข่าลงที่เดิมดีๆ งั้นฉันก็จะให้คนตีขาสุนัขของแกให้หัก!”
เย่เทียนเสี่ยวด่าทออย่างโกรธเคืองว่า: “เชรด! ถังซื่อไถแกแม่งตอแหลอะไร? ในที่นี้แกแม่งไม่มีมโนสำนึกที่สุด ปีนั้นเย่ฉางอิงปฏิบัติต่อแกอย่างมีบุญคุณอันยิ่งใหญ่ แต่แกกลับดี ตอนนี้หันหน้ามาเป็นสุนัขของสำนักว่านหลง ตอนนี้เย่ฉางอิงก็ถูกฝังอยู่บนภูเขาเย่หลิงซาน แกก็ไม่กลัวเขาจะรู้เหรอ?”