คำถามของเย่เฉิน ทำให้เย่เทียนเสี่ยวเงียบกริบในทันที
คนอื่นๆที่ยังคงเต็มไปด้วยความขุ่นเคืองอันชอบธรรมเมื่อกี้นี้ ในเวลานี้พวกเขาทั้งหมดทรุดตัวลงในทันที
อันที่จริงในใจของพวกเขาก็รู้ดีเป็นอย่างมาก เมื่อพวกเขาหนีออกจากเย่นจิงชั่วข้ามคืน ก็ไม่คำนึกถึงไมตรีจิตความรักใคร่ที่มีต่อกันกับตระกูลเดียวกัน และก็ไม่อยากเกี่ยวข้องกับตระกูลเย่แม้แต่น้อย
ดังนั้นในเวลานี้เย่เฉินโกงพวกเขาตรงหน้าว่านพั่วจวิน พวกเขาก็ทำได้เพียงทนฝืนกล้ำกลืนความโกรธนี้เอาไว้
แต่ว่า ในเวลานี้พวกเขาแต่ละคนก็เกลียดเย่เฉินในใจอย่างบ้าคลั่งแล้ว
มองดูท่าทีของพวกตระกูลเดียวกัน ก็เหมือนกับจะกินตัวเอง เย่เฉินไม่ได้รู้สึกอึดอัดเลยสักนิด แต่กลับดูร่างเริงสุขใจ ก็ทำให้คนพวกนี้โกรธจนกระอักเลือด
หลายคนแอบคิดภายในส่วนลึกของหัวใจว่า รอหลังจากเหตุการณ์หัวเลี้ยวหัวต่อนี้ผ่านไป จะต้องหาทางสั่งสอนเย่เฉินดีๆ!
ในเวลานี้ว่านพั่วจวินเอ่ยปากแสดงท่าที: “ฉันคิดว่าหกสิบงวด เป็นทางเลือกที่ดีที่สุด ด้วยแบบนี้ คนอย่างพวกแกก็ไม่ต้องมีแรงกดดันทางการเงินมากเกินไป!”
จากนั้น เขาโบกมือโดยไม่ลังเล และอ้าปากพูดว่า: “ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นพวกแกทั้งหมดก็เซ็นข้อตกลงผ่อนชำระหกสิบงวด สัญญาทั้งหมดจะเซ็นชื่อทางอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งสะดวกและรวดเร็ว! ตามนี้ละกัน ไขว่คว้าเวลาทำให้เสร็จ!”
สมาชิกตระกูลย่อยของตระกูลเย่ที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็คร่ำครวญทันที
ผ่อนชำระหกสิบงวด อัตราดอกเบี้ยที่แท้จริงเกือบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ ด้วยแบบนี้ สุดท้ายสิ่งที่ส่งมอบให้สำนักว่านหลง ก็ไม่ใช่ทรัพย์ห้าสิบเปอร์เซ็นต์ แต่เป็นอย่างน้อยเจ็ดสิบเปอร์เซ็นต์!
ข้อดีเพียงอย่างเดียว ส่วนใหญ่ในนั้นก็เป็นการผ่อนชำระเป็นงวด ถึงแม้จะดอกเบี้ยจะสูงมาก แต่ก็ยืดเวลาให้มากกว่า เทียบเท่ากับว่าหาเงินไปด้วยใช้หนี้ไปด้วย
ด้วยแบบนี้ ในอีกห้าปีข้างหน้าของพวกเขา โดยพื้นฐานก็ช่วยหาเงินให้กับสำนักว่านหลง และไม่มีความหวังที่จะกลับมาเหมือนเดิมในระยะเวลาอันสั้นอย่างแน่นอน
เย่เทียนเสี่ยวมองดูว่านพั่วจวิน และถอนหายใจโดยไม่ได้ตั้งใจ: “ประมุขว่าน คุณจะลำบากให้พวกเราเซ็นสัญญาฉบับหนึ่งทำไม? ต่อให้ไม่มีสัญญา พวกเราก็ไม่กล้าเบี้ยวหนี้สำนักว่านหลง!”
คำพูดนี้ของเย่เทียนเสี่ยวอันที่จริงถามแทงใจดำของว่านพั่วจวิน
ในใจของเขาสับสนมาก ในเมื่อเย่เฉินต้องการให้สำนักว่านหลงออกหน้าทำเรื่องไม่ดีแบบนี้ ถ้าอย่างนั้นก็ส่งมอบทุกอย่างนี้ให้กับสำนักว่านหลง มีสำนักว่านหลงออกหน้าทวงหนี้ คนพวกนี้ไม่กล้าที่จะไม่ให้อย่างแน่นอน
แต่ที่น่าแปลกก็แปลตรงที่ว่า เย่เฉินให้สำนักว่านหลงมาทำเรื่องใช้อำนาจบีบบังคับแบบนี้ กลับยังให้พวกเขาเซ็นข้อตกลงหนึ่งฉบับ นี่ก็ทำให้ว่านพั่วจวินค่อนข้างสับสน
เย่เฉินก็มองออกว่าว่านพั่วจวินไม่เข้าใจ ดังนั้นจึงเอ่ยปากพูดว่า: “ประมุขว่าน หนี้สินของพวกเขาจะได้รับการชำระคืนอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาห้าปีในอนาคต ในห้าปีนี้ ง่ายดายมากที่จะเกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดต่างๆ”
จากนั้น เย่เฉินก็พูด: “ถ้าหากไม่มีสัญญา ทุกอย่างนี้ก็ต้องอาศัยสำนักว่านหลงไปทวงหนี้ด้วยตัวเอง และหลังจากที่มีสัญญา นอกเหนือจากสำนักว่านหลงทวงหนี้ด้วยตัวเอง ยังสามารถทวงหนี้ผ่านกฎหมายได้ แบบนี้ก็ทั้งสองทางก็แข็งแกร่ง”
ต่อมา เย่เฉินมองดูพวกสมาชิกสาขาตระกูลย่อยของตระกูลเย่ และเอ่ยปากพูดว่า: “ผมกังวลว่าในอนาคตไม่กี่ปีพวกเขาจะเพราะว่ากิจการไม่ดี ดังนั้นไม่สามารถชำระเงินงวดนี้ต่อไปได้ ถึงเวลาพวกเขาจะปล่อยให้เป็นไปตามยถากรรม สำนักว่านหลงก็ทำอะไรไม่ได้”
“อีกอย่าง ผมยังกังวลว่าพวกเขาจะโอนย้ายทรัพย์สินหนีไปอย่างเงียบๆ ถ้าหากพวกเขาหนีไปจริงๆ เกรงว่าชั่วขณะหนึ่งสำนักว่านหลงจะจัดการพวกเขาได้ยากจริงๆ”
“แต่ว่า ถ้าหากมีสัญญา ตราบใดที่พวกเขามีการเปลี่ยนอะไรก็ตาม ผมก็สามารถปกป้องสิทธิและผลประโยชน์ของสำนักว่านหลงผ่านช่องทางทางกฎหมาย ถึงเวลานั้นผมสามารถยื่นสัญญาต่อศาลโดยตรงได้ ขออายัดทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเขา ให้พวกเขาเอาเงินไปไม่ได้แม้แต่บาทเดียว!”
“ไม่เพียงเท่านั้น ถึงเวลานั้นผมยังสามารถยื่นคำร้องการบังคับคดีตามกฎหมายต่อศาล ในเวลานั้นทรัพย์สินทั้งหมดของพวกเขาจะถูกยึดเพื่อประมูลโดยตรง ค่อยนำเงินก้อนนี้คืนให้กับสำนักว่านหลง”
“ดังคำกล่าวที่ว่ากันไว้ดีกว่าแก้ แบบนี้ โดยพื้นฐานก็สามารถมั่นใจได้ว่าจะไม่มีอะไรผิดพลาด”