ตอนที่เย่เฉินและว่านพั่วจวินกำลังกระซิบกัน สมาชิกตระกูลย่อยเจ็ดร้อยคนนี้ของตระกูลเย่ ก็แอบจ้องทั้งสองคนอย่างจิตใจกระสับกระส่ายมาโดยตลอด
ในเวลานี้สิ่งที่พวกเขาคิดในใจก็คือ เย่เฉินคงจะกำลังพูดใส่ร้ายให้ว่านพั่วจวินฟังอย่างแน่นอน ไม่รู้ว่าอดกลั้นอะไรไว้
ในความเห็นของพวกเขา เย่เฉินนั้นน่ารังเกียจพอๆกับคนทรยศในปีนั้น
ในเวลานี้ ว่านพั่วจวินมาถึงตรงหน้าของทุกคน และพูดเสียงดังว่า: “พวกแกฟังฉันให้ดี ต่อไปเรื่องราวทั้งหมดของที่นี่ก็มอบหมายให้เย่เฉินเป็นคนตัดสินใจ พวกแกต้องฟังคำสั่งการของเขาทั้งหมด ห้ามฝ่าฝืนแม้แต่น้อย! ไม่อย่างนั้น ฉันไม่มีทางปล่อยเขาไว้แน่!”
ทันทีที่ว่านพั่วจวินพูดคำเหล่านี้ พวกคนตระกูลเย่นี้ก็แทบจะอกแตกตายในทันที
เดิมทีพวกเขายังคิดว่า เย่เฉินก็แค่ยอมจำนนต่อว่านพั่วจวิน เป็นคนรับใช้ของว่านพั่วจวิน แต่คาดไม่ถึงว่า ว่านพั่วจวินจะให้ความสำคัญกับเขาขนาดนี้
ขณะที่พวกเขากำลังตกตะลึงจนตาค้าง เย่เฉินเดินไปที่ข้างกายของว่านพั่วจวิน เอ่ยปากพูดว่า: “พวกลูกหลานของตระกูลเย่อย่างพวกแก เวลาหัวเลี้ยวหัวต่อไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของตระกูลและบรรพบุรุษที่ฝังอยู่ในหลุมศพ ถ้าไม่ให้พวกแกชดใช้กรรมอย่างสาสม เกรงว่าวิญญาณบนฟ้าของบรรพบุรุษไม่มีทางยอม ดังนั้นตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไป ฉันต้องการให้พวกแกทุกคนสามก้าวก้มกราบคำนับหนึ่งครั้ง คุกเข่าลงแล้วปีนขึ้นภูเขาเย่หลิงซาน! ไปสำนึกผิดต่อบรรพบุรุษที่ฝังไว้บนภูเขาด้วยตนเอง!”
ทันทีที่คำพูดของเย่เฉินถูกพูดออกมา สมาชิกตระกูลย่อยของตระกูลเย่เจ็ดร้อยกว่าคนก็คร่ำครวญ!
พวกเขาได้นำเงินสดออกไปเกือบทั้งหมดแล้ว ยังเซ็นสัญญาผ่อนชำระที่เรียกว่าสัญญาขายตัว เรียกได้ว่าสูญเสียทรัพย์สินสุทธิไปเกือบหมด
แต่ถึงกระนั้น พวกเขาก็ยังไม่สามารถผ่านอุปสรรคนี้ไปได้ ตอนนี้เย่เฉินก็ยังให้พวกเขาสามก้าวก้มกราบคำนับหนึ่งครั้งบนภูเขาเย่หลิงซาน ก็จะทรมานพวกเขาจนตายไม่ใช่เหรอ?
แม้ว่าภูเขาเย่หลิงซานถูกตระกูลเย่พัฒนาทั้งหมดแล้ว มีถนนซีเมนต์แบนราบตั้งแต่เชิงเขาไปจนถึงหลุมฝังศพบนภูเขา แต่ตลอดขึ้นภูเขา ก็มีระยะทางสามถึงห้ากิโลเมตร
สามก้าวก้มกราบคำนับหนึ่งครั้ง สองเมตรกว่าไม่ถึงสามเมตรก็เกือบจะต้องก้มกราบคำนับครั้งหนึ่ง คำนวณลงมา อย่างก็ต้องก้มกราบคำนับหนึ่งพันกว่าถึงจะขึ้นไปได้
กระบวนการสามก้าวก้มกราบคำนับหนึ่งครั้งนั้นก็ค่อนข้างยุ่งยาก เคลื่อนไหวคล่องแคล่วหน่อย หนึ่งนาทีก็สามารถทำสำเร็จได้สองสามครั้ง คำนวณลงมา ไม่ถึงห้าหกชั่วโมงอย่าแม้แต่จะคิดขึ้นไป
ถ้าว่านพั่วจวินมีความต้องการแบบนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าที่จะพูดจาไร้สาระ คงจะเร่งรีบเริ่มที่จะก้มกราบคำนับขึ้นเขาจนสุดทางอย่างไม่พูดพร่ำทำเพลง
แต่คำพูดนี้ออกจากปากของเย่เฉิน สมาชิกตระกูลย่อยของตระกูลเย่แต่ละคนก็โกรธจัดในทันที
มีคนด่าโดยตรง: “เย่เฉิน! แกแม่งอย่ารังแกคนมากเกินไป! แกก็ไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาว่าแกเป็นตัวอะไร! สุนัขจิ้งจอกแอบอ้างบารมีเสืออยู่ตรงหน้าของประมุขว่าน แกแม่งแตกต่างอะไรกับคนทรยศ!”
นอกจากนี้ยังมีคนที่มีเจตนาไม่ดี จงใจทำให้เกิดความขัดแย้งระหว่างเย่เฉินกับว่านพั่วจวิน ก็กล่าวโทษว่า: “เย่เฉิน! ปีนั้นเย่ฉางอิงพ่อของแกเป็นผู้ร้ายที่ทำให้พ่อแม่ของประมุขว่านตาย! ต่อให้ประมุขว่านเลี้ยงหมาไว้หนึ่งแสนตัว แกก็ไม่มีสิทธิ์ที่จะมาเห่าหอนที่นี่!”
ก็มีคนพูดออกมาอย่างหน้าด้านไร้ยางอาย: “นั่นนะสิ! ประมุขว่าน! ไม่ว่ายังไงคุณก็ไม่ควรที่จะฟังคำพูดใส่ร้ายของคนต่ำทรามคนนี้! ตระกูลเย่เป็นศัตรูที่ฆ่าพ่อของคุณนะ! เขาอยู่ตรงหน้าของคุณ ให้พวกเราคุกเข่าไปไหว้บรรพบุรุษตระกูลเย่ เจตนาร้ายน่ะ!”
ว่านพั่วจวินฟังคำพูดของคนพวกนี้ที่อยู่ตรงหน้า ในขณะเดียวกันก็ตกใจ และก็อดคิดไม่ได้ว่า: “ก่อนหน้านี้ฉันยังรู้สึกว่า คุณเย่โหดร้ายกับพวกคนในตระกูลเดียวกันเกินไปหน่อย แต่ตอนนี้ฉันเพิ่งเข้าใจ คนพวกนี้สมควรได้รับกรรม! ถ้าเปลี่ยนเป็นฉัน เห็นหน้าตานี้ของพวกเขา มีใจที่จะฆ่าพวกเขาจริงๆ!”
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ว่านพั่วจวินโกรธเป็นอย่างมาก และตะโกนด้วยน้ำเสียงเย็นชาทันทีว่า: “บังอาจ! เมื่อกี้นี้บอกแล้วว่า ทั้งหมดนี้มีคุณเย่มาตัดสินใจ! พวกแกกล้ายังไงที่ไม่เชื่อฟังอย่างเปิดเผย มีเจตนาอะไรกันแน่?”
ทุกคนในตระกูลเย่ตัวสั่นด้วยความกลัว
ว่านพั่วจวินสั่งการกับพลทหารหลายคนที่อยู่ข้างกาย: “ตัวลากของคนที่เพิ่งพูดจาดูหมิ่นคุณเย่ออกมา! ตบหน้าคนละหนึ่งร้อยครั้ง! ไม่สิ! ตบหน้าห้าร้อยครั้ง!”